ผู้จัดการรายวัน 360 - “ซีพี-เมจิ” สบช่องว่างตลาดเจาะเทรนด์รักสุขภาพ ขยายฐานลูกค้ากลุ่มพรีเมียม เปิดตัวโยเกิร์ตพร้อมดื่ม “เมจิ บัลแกเรีย” เอาใจคนรุ่นใหม่อายุ 25 ปีขึ้นไปที่ใช้ชีวิตเร่งรีบในการบริโภคอาหาร-เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ หวังยอดขาย 200 ล้านบาทในปีแรก พร้อมดันยอดขายรวมปี 59 เติบโต 14-15% แตะ 8.5 พันล้านบาท เพิ่มจาก 7.6 พันล้านบาทในปี 58
นายสุจริต มัยลาภ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์นมแบรนด์ “เมจิ” และโยเกิร์ต “เมจิ” เปิดเผยว่า จากพฤติกรรมผู้บริโภคยุคปัจจุบันที่ใส่ใจในสุขภาพส่งผลให้อัตราการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมีเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดังจะเห็นได้จากภาพรวมตลาดผลิตภัณฑ์นมในปี 2558 มีมูลค่าประมาณ 2.7 หมื่นล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 5.6% ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่ดีในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
ตลาดผลิตภัณฑ์นมดังกล่าวแบ่งเป็น 3 กลุ่มที่บริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์ในตลาด ประกอบด้วย 1. นมสดพาสเจอไรซ์ มูลค่า 7 พันล้านบาท เติบโต 5% และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 8% ในปี 2559 โดยบริษัทถือเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งตลาด 54% มียอดขายเติบโตขึ้น 11.6% 2. นมเปรี้ยวและโยเกิร์ตพร้อมดื่ม มูลค่า 9 พันล้านบาท เติบโต 20% บริษัทครองส่วนแบ่ง 5% 3.โยเกริ์ตถ้วย มูลค่า 4.7 พันล้านบาท เติบโต 7% บริษัทมีส่วนแบ่ง 7%
“ในปี 2558 บริษัทฯ มียอดขาย 7.6 พันล้านบาท เติบโตขึ้น 11% แยกเป็นรายได้ในประเทศ 80% และส่งออก 20% จากสัดส่วนผลิตภัณฑ์นมสดพาสเจอไรซ์ 80% นมเปรี้ยวและโยเกิร์ต 20% โดยบริษัทฯ มีเป้าหมายทำรายได้ในปี 2559 ให้เติบโตขึ้น 14-15% คิดเป็นยอดขายประมาณ 8.5 พันล้านบาท แยกเป็นรายได้ในประเทศ 77% ส่งออก 23% ก่อนที่จะปรับเป็นรายได้ในประเทศ 75% และส่งออก 25% ในปี 2560”
นายสุจริตกล่าวอีกว่า จากการเติบโตของตลาดประกอบกับเทรนด์รักสุขภาพของผู้บริโภค จึงทำให้บริษัทฯ เล็งเห็นช่องว่างทางการตลาดของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพในทุกๆ รูปแบบ โดยในเฉพาะในส่วนของโยเกิร์ตซึ่งปัจจุบันคนไทยเริ่มมีอัตราการบริโภคที่สูงขึ้นจากคนละ 9 กก.ต่อปีเมื่อประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา เพิ่มเป็น 16 กก.ต่อปีในปัจจุบัน และคาดว่าจะมากถึง 20 กก.ต่อปีในอนาคตอันใกล้ แต่ยังคงถือเป็นอัตราการบริโภคที่ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับชาวญี่ปุ่นที่บริโภคปีละ 90 กก.ต่อปี และชาวยุโรปบริภาคสูงถึง 200 กก.ต่อปี
หลังจากที่บริษัทฯ ใช้เงินลงทุน 3 พันล้านบาทก่อสร้างโรงงานผลิตโยเกิร์ตเมื่อประมาณปี 2556 จนสามารถผลักดันให้โยเกิร์ตถ้วยแบรนด์ “เมจิ บัลแกเรีย” เข้าสู่ตลาดเป็นจำนวน 3 เอสเคยู พร้อมทำยอดขายได้ 300 ล้านบาทในปี 2558 โดยคาดว่าจะเพิ่มเป็น 500-600 ล้านบาทในปี 2559 จึงมีแผนต่อยอดความแข็งแกร่งของแบรนด์ “เมจิ บัลแกเรีย” และขยายฐานตลาดในเซกเมนต์พรีเมียมมากขึ้น โดยให้ความสำคัญในเรื่องของคุณค่าและประโยชน์ของผลิตภัณฑ์มากกว่าราคาที่จำหน่าย
ล่าสุดบริษัทฯ ใช้เวลาคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นเวลา 2 ปี พร้อมใช้งบประมาณ 70 ล้านบาทจากงบประมาณการตลาดรวม 300-400 ล้านบาท เพื่อเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่โยเกิร์ตพร้อมดื่มระดับพรีเมียมแบรนด์ “เมจิ บัลแกเรีย” โดยเน้นจุดเด่นด้านนวัตกรรมการผลิต พร้อมใช้วัตถุดิบด้วยจุลินทรีย์สายพันธุ์ LB81 จากประเทศบัลแกเรีย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคยุคใหม่ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไปและมีชีวิตเร่งรีบในการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพในเวลาอันเร่งรีบ
“ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ มีส่วนแบ่งตลาดโยเกิร์ตถ้วย 15% จากแบรนด์ เมจิ บัลแกเรีย 10% และแบรนด์เมจิ 5% ขณะที่ผู้นำตลาด คือ ดัชมิลล์ มีส่วนแบ่ง 65% ส่วนในตลาดโยเกิร์ตพร้อมดื่มแม้บริษัทฯ จะมีส่วนแบ่งเพียง 2% โดย ดัชมิลล์ ยังคงครองตลาดด้วยส่วนแบ่งมากกว่า 90% แต่จากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ครั้งนี้ทำให้บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายระยะยาวว่าจะเพิ่มส่วนแบ่งโยเกิร์ตพร้อมดื่มเป็น 20% ภายใน 3-5 ปี โดยในปี 2559 คาดว่าจะทำยอดขายได้ประมาณ 200 ล้านบาท”
นายสุจริตกล่าวในตอนท้ายว่า เบื้องต้นบริษัทฯ จะเริ่มจำหน่ายโยเกิร์ตพร้อมดื่ม “เมจิ บัลแกเรีย” 2 รสชาติคือรสกลมกล่อมและรสไวลด์ เบอร์รี่ ขนาดบรรจุ 140 มล. ราคา 20 บาท ผ่านร้านเซเว่นอีเลฟเว่นตั้งแต่วันที่ 14 ม.ค. 59 พร้อมเผยแพร่ภาพยนตร์โฆษณาทางโทรทัศน์ตั้งแต่วันที่ 20 ม.ค. 59 ก่อนที่จะสร้างการรับรู้ผ่านสื่อต่างๆ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ รวมทั้งกิจกรรมโรดโชว์และแจกสินค้าตัวอย่าง 5 แสนขวด ก่อนขยายช่องทางจำหน่ายทั่วประเทศภายในเดือน ก.พ. 59