ลุ้นเคาะรูปแบบลงทุนรถไฟไทย-จีน เผยจีนพร้อมให้กู้ดอกเบี้ยพิเศษ ดันร่วมมือจีทูจีเต็มรูปแบบ ลดขั้นตอนเร่งก่อสร้าง ต.ค. 58 ได้ตามแผน “ประจิน” ยันโปร่งใส เลือกผู้รับเหมาไทยรับช่วงงานเป็นธรรม ยึดประสบการณ์ทำงานระดับประเทศ พร้อมวางแผนพัฒนาระบบรางในประเทศ ยกระดับรถไฟดีเซลเป็นรถไฟฟ้าวิ่งบนราง 1 เมตรเชื่อมมาเลเซีย
พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงผลการประชุมร่วมคณะทำงานไทย-จีนในความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรถไฟทางคู่ ขนาดรางมาตรฐาน (Standard Gauge) 1.435 เมตร เส้นทางหนองคาย-โคราช-แก่งคอย-มาบตาพุด ระยะทาง 734 กม. และเส้นทางแก่งคอย-กรุงเทพฯ 133 กม. ระหว่างวันที่ 21-22 มกราคม ว่า ได้ตกลงกรอบการทำงานร่วมกันแล้ว โดยในการประชุมครั้งที่ 2 วันที่ 11-13 กุมภาพันธ์ ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน จะมีรายละเอียดรูปแบบการลงทุนเพิ่มเติม ซึ่งในข้อตกลงร่วมบางเรื่องอาจจะต้องนำกลับมาเข้าสู่ขั้นตอนของไทย เช่น เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบก่อน ซึ่งตั้งเป้าไว้ว่าจะดำเนินการตามขั้นตอนให้แล้วเสร็จภายใน 2 เดือนเพื่อเริ่มต้นก่อสร้างให้ได้ภายใน 6-7 เดือน ขณะนี้การดำเนินงานยังคงสอดคล้องกัน รัฐบาลเห็นว่าโครงการนี้มีความสำคัญและเกิดประโยชน์ต่อภาคสังคมและเศรษฐกิจของไทย ดังนั้นเพื่อให้ดำเนินงานได้รวดเร็วจะเน้นเรื่องความโปร่งใสในความร่วมมือดังกล่าวแน่นอน
ส่วนการคัดเลือกบริษัทก่อสร้างนั้น เนื่องจากเป็นความร่วมมือแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) จึงไม่ใช่การเปิดประกวดราคาโดย CRC ของจีน จะเป็นผู้รับผิดชอบการก่อสร้างหลัก และจะเลือกผู้มีประสบการณ์และผู้ที่ทางจีนให้การรับรองเป็นผู้รับเหมาหลักซึ่งทางจีนจะเสนอรายชื่อในการประชุมที่ปักกิ่ง ส่วนผู้รับเหมาไทยนั้นจะเข้าร่วมเป็นผู้รับเหมาช่วง แต่การคัดเลือกนั้นค่อนข้างละเอียดอ่อนในการตัดสินใจเพราะต้องเลือกรูปแบบการลงทุนก่อน เพราะหากเป็น PPP หรือร่วมลงทุน รูปแบบผู้รับเหมาจะเปลี่ยนไป โดยจะแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 2 สัญญา โดยมี 2 กลุ่มผู้รับจ้างก่อสร้าง
โดยหลังจากนั้นในเดือนมีนาคมจะเป็นการจัดทีมสำรวจทางการของจีนมาทำการสำรวจร่วมกับฝ่ายไทย โดยขั้นต้นบริษัท ไชน่า เรลเวย์ คอร์ปอเรชั่น (CRC) ของจีนและเจ้าหน้าที่ ร.ฟ.ท.จะร่วมลงพื้นที่สำรวจร่วมกันอย่างไม่เป็นทางการ โดยฝ่ายไทยจะจัดเตรียมข้อมูลเบื้องต้น เช่น ผลการสำรวจที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2553-2557 เป็นแนวทางประกอบในการสำรวจ และจะสำรวจเป็นทางการในเดือนมีนาคม จากนั้นจะเป็นการเตรียมเส้นทางและพื้นที่เพื่อก่อสร้างสถานีและศูนย์กระจายสินค้า โดยช่วงที่ 1 กรุงเทพฯ-แก่งคอย ระยะทาง 133 กม. และช่วงที่ 2 แก่งคอย-มาบตาพุด ระยะทาง 246.5 กม. เริ่มก่อสร้างได้ไม่เกินเดือนตุลาคม ปี 2558 ซึ่งฝ่ายจีนเห็นว่าจะสามารถก่อสร้างได้แล้วเสร็จภายใน 2.5 ปี ส่วนช่วงที่ 3 แก่งคอย-นครราชสีมา ระยะทาง 138.5 กม. และช่วงที่ 4 นครราชสีมา-หนองคาย ระยะทาง 355 กม. เริ่มก่อสร้างในเดือนธันวาคม 2558 อย่างช้าไม่เกินไตรมาสที่ 1 ปี 2559 ใช้เวลาประมาณ 3 ปีหรืออย่างช้าไม่เกิน 3.5 ปีเนื่องจากเส้นทางผ่านภูเขา พื้นที่อุทยาน และบางช่วงมีชุมชนหนาแน่น
ทั้งนี้ รถไฟทางคู่ ขนาดรางมาตรฐานของไทยความเร็วระดับกลาง 160-180 กม./ชม.ที่ใช้เทคโนโลยีของจีนนั้นจะเป็นต้นแบบสำหรับประเทศในอาเซียน โดยลาวจะเป็นประเทศแรกที่ก่อสร้างตามมา ซึ่งจะทำให้เส้นทางแรกเชื่อมต่อจากคุนหมิงของจีน ผ่านเวียงจันทน์ของลาว มาเชื่อมกับไทยที่หนองคาย-โคราช-แก่งคอย-กรุงเทพฯ ในขณะที่ภายในประเทศไทยจะเน้นการพัฒนาปรับปรุงรางขนาด 1 เมตรที่มีอยู่เดิมให้มีความมั่นคงแข็งแรง และยกระดับเทคโนโลยีจากรถดีเซลเป็นรถไฟฟ้า โดยเริ่มที่สายใต้เพื่อเชื่อมไปยังมาเลเซียที่มีรางขนาด 1 เมตรที่ใช้รถไฟฟ้าแล้ว พร้อมกันนี้ ไทยจะมีการวางแผนในการพัฒนารางขนาด 1 เมตร ในระยะ 5-10 ปีต่อไปไว้ด้วย
พล.อ.อ.ประจินกล่าวว่า จากข้อมูลความร่วมมือรถไฟระหว่างจีนกับลาว ล่าสุดทราบว่าได้มีการลงนามเพื่อก่อสร้างทางรถไฟขนาดรางมาตรฐานเชื่อมจีน-ลาว เมื่อ 4 ปีก่อน อยู่ระหว่างรอลงนาม โดยอยู่ระหว่างรอกระบวนการทางกฎหมาย ซึ่งระหว่างวันที่ 1-3 กุมภาพันธ์นี้กระทรวงคมนาคมไทยจะเดินทางไปหารือกับกระทรวงคมนาคมของ สปป.ลาว เพื่อแลกเปลี่ยนเรื่องโครงการดังกล่าวเพื่อประโยชน์ของสองประเทศสอดคล้องกัน โดยมีการเชื่อมต่อเส้นทางจากคุนหมิง-เวียงจันทน์-กรุงเทพฯ ตามเป้าหมายชัดเจนมากขึ้น ซึ่งเบื้องต้นทาง สปป.ลาวแจ้งว่าคาดว่าจะลงนามสัญญากับจีนในปี 2558 และเริ่มก่อสร้างในปี 2559
***จีนเสนอ 3 รูปแบบลงทุนให้ไทยเลือก
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านการเงินและรูปแบบการลงทุนในโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ กรุงเทพฯ-แก่งคอย-โคราช-หนองคาย กล่าวว่า เบื้องต้นจีนนำเสนอการลงทุนด้านการเงินไว้ 3 รูปแบบ คือ 1. กู้เงินจากจีนลงทุน โดยมีอัตราดอกเบี้ยและระยะการผ่อนปรนมากพิเศษ 2. รัฐและเอกชนร่วมลงทุน หรือ PPP 3. การลงทุนร่วมกับรัฐบาลไทย-จีน ซึ่งจะเลือกรูปแบบใดนั้นขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง โดยเฉพาะความเป็นไปได้ของโครงการ และอัตราผลตอบแทน โดยจีนนั้นยืนยันถึงประสบการณ์ในการเข้าไปช่วยเหลือพัฒนาเส้นทางรถไฟในประเทศต่างๆ ทั้ง 3 รูปแบบ
“กรณีกู้เงินแบบดอกเบี้ยต่ำและผ่อนปรนมากๆ นั้นจะเป็นการลงทุนแบบที่รัฐบาลรับผิดชอบ 100% ทั้งการก่อสร้างและการเดินรถ ซึ่งอยู่ที่รัฐบาลไทยตัดสินใจว่าต้องการกู้เงินเท่าไร และเงื่อนไขทางจีนเป็นอย่างไร โดยจีนพร้อมเต็มที่เพราะถือเป็นความร่วมมือระดับรัฐบาล โดยให้กู้ผ่านธนาคารเพื่อการนำเข้าส่งออกแห่งประเทศจีน (เอ็กซิมแบงก์) แต่หากโครงการได้ผลตอบแทนคืนเร็วอาจจะใช้รูปแบบ PPP แต่กรณีได้ผลตอบแทนในช่วงแรกต่ำเพราะปริมาณผู้โดยสารและสินค้าจะเพิ่มขึ้นในอนาคต จะใช้รูปแบบรัฐบาลร่วมมือตั้งบริษัทลงทุนร่วมกัน เมื่อผลตอบแทนเริ่มดีขึ้นรัฐบาลไทยอาจจะซื้อโครงการกลับมาได้ ซึ่งคณะอนุกรรมการด้านการเงินฯ จะพิจารณารูปแบบที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการพัฒนารถไฟเส้นทางนี้ โดยจะสรุปเบื้องต้นในการประชุมที่กรุงปักกิ่ง วันที่ 11-13 กุมภาพันธ์” นายอาคมกล่าว
ทั้งนี้ ยอมรับว่ารูปแบบการกู้เงินจะดำเนินงานได้รวดเร็วมากที่สุด แต่หากจะใช้ PPP จะต้องหาข้อตกลงกันว่ารัฐจะลงทุนส่วนไหน เอกชนลงทุนส่วนไหน ซึ่งไทยใช้รูปแบบ PPP ในโครงการรถไฟฟ้า โดยรัฐรับผิดชอบการก่อสร้างงานโยธา ส่วนเอกชนเข้ามาลงทุนเดินรถ โดยพิจารณาผลตอบแทนในระดับหนึ่งที่เอกชนจะเข้ามาดำเนินการได้ ซึ่งหากจีนเห็นด้วยไทยจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอน พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ 2556 ต่อไปด้วย