xs
xsm
sm
md
lg

[ชมคลิป] ตลาด “โฟรเซนโยเกิร์ต” ไทยระอุ “เรฟไบท์” คว้าโยเกิร์ตแลนด์ยึดตลาด 60%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“พรศักดิ์ ชินวงศ์วัฒนา” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เรฟ ไบท์ จำกัด
ASTVผู้จัดการรายวัน - โฟรเซนโยเกิร์ตไขมันต่ำชื่อดังจากเมืองลุงแซมกระตุ้นตลาดระลอกใหญ่หลังผู้บริโภคตอบรับดีเกินคาด ส่งผลแผนลงทุนเปิด 10 สาขาในปีแพะเข้าเป้าตั้งแต่เดือนแรก คาดยอดขายทั้งปีมากกว่า 150 ล้านบาท พร้อมดึงแชร์ 60% สูงกว่ามูลค่าตลาดที่มีเพียง 100 ล้านบาท เตรียมขยายลงทุนเพิ่ม 8 สาขาในมาเลย์ปี 59 ก่อนบุกแดนลอดช่อง 4 สาขาปี 60

นายพรศักดิ์ ชินวงศ์วัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เรฟ ไบท์ จำกัด ผู้นำเข้า “โยเกิร์ตแลนด์” (Yogurtland) โฟรเซนโยเกิร์ตไขมันต่ำชื่อดังจากสหรัฐอเมริการายแรกในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยว่า โฟรเซนโยเกิร์ตถือเป็นเซกเมนต์หนึ่งในตลาดไอศกรีมที่มีมูลค่าประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละประมาณ 10% โดยในส่วนของโฟรเซนโยเกิร์ตยังคงมีมูลค่าน้อยมากเพียงประมาณ 100 ล้านบาท ขณะที่มีผู้ประกอบการ 4 ราย ได้แก่ Party Land, Yoo Moo, Many Cup และ Budhi Belly ซึ่งมีจำนวนสาขารวมกันประมาณ 10 แห่ง

บริษัทฯ ใช้เวลาในการศึกษาตลาดโฟรเซนโยเกิร์ตมาตั้งแต่ปี 2550 จนเริ่มตัดสินใจลงทุนเมื่อปลายเดือน ธ.ค. 57 และเปิดจำหน่ายสาขาแรกในลักษณะบริการตนเอง (Soft Serve) ที่ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 และล่าสุดเพิ่งเปิดสาขา 2 ที่ซอยสุขุมวิท 35 คิดราคาจำหน่าย 100 กรัม 80 บาท ปรากฏว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าทุกเพศทุกวัย โดยในส่วนของสาขาศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 มีลูกค้าเฉลี่ยประมาณ 200 คนต่อวัน มีการซื้อเฉลี่ยประมาณ 200 บาทต่อครั้ง ส่วนสาขาสุขุมวิท 35 มีลูกค้าเฉลี่ยประมาณ 250 คนต่อวัน มีการซื้อเฉลี่ยประมาณ 130 บาทต่อครั้ง คิดเป็นลูกค้าคนไทย 70% ต่างชาติ 30%

“ปัจจุบันวัฒนธรรม หรือเทรนด์การรับประทานอาหารทั้งของคนไทยและชาติอื่นๆ เริ่มหันมาใส่ใจในเรื่องสุขภาพ ความสวยงาม และหันมาใส่ใจดูแลตัวเองมากขึ้น ขณะที่ตลาดโฟรเซนโยเกิร์ตแบบบริการตนเองยังมีโอกาสเติบโตสูง เนื่องจากมีรสชาติอร่อยคล้ายไอศกรีม แต่ให้ประโยชน์และคุณค่าทางอาหาร เช่น จุลินทรีย์ และแคลเซียมเทียบเท่าโยเกิร์ตถ้วย โดยเฉพาะคนไทยยังมีสัดส่วนการบริโภคไอศกรีมน้อยมากคือคนละประมาณ 2 ลิตรต่อปี ขณะที่คนมาเลเซียบริโภคประมาณ 2.5 ลิตรต่อปี สิงคโปร์บริโภคคนละประมาณ 5-6 ลิตรต่อปี โดยคนอเมริกันบริโภคสูงสุดคือคนละประมาณ 15 ลิตรต่อปี”

เบื้องต้นบริษัทฯ จึงมีแผนจะเปิดสาขาทั้งสิ้น 10 แห่งภายในปี 2558 โดยเน้นพื้นที่ภายในห้างสรรพสินค้าย่านใจกลางเมืองและคอมมูนิตีมอลล์ที่ขยายสู่ชุมชนขนาดใหญ่รอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยคาดว่าภายในปี 2558 จะสามารถทำยอดขายได้สูงกว่าตลาดคือประมาณ 150 ล้านบาท พร้อมส่วนแบ่ง 60% ส่งผลให้ตลาดรวมมีมูลค่าประมาณ 250 ล้านบาท

นายพรศักดิ์กล่าวด้วยว่า แต่เนื่องจากกระแสตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคจึงทำให้คาดว่าอาจมีการเปิดสาขาเพิ่มมากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากขณะนี้บริษัทฯ ได้พื้นที่สำหรับเปิดสาขาแล้ว 9 แห่ง โดยภายในเดือน ก.พ. 58 จะเริ่มเปิดสาขาที่ 3 และ 4 คือ สาขาเพลินนารี่ มอลล์ (วัชรพล) และเดอะ คริสตัล เอสบี (ราชพฤกษ์-พระราม 5) โดยคาดว่าในช่วงไตรมาสแรกจะเปิดได้อีก 2 สาขาที่ พาซิโอ พาร์ค (ถนนกาญจนาภิเษก) และเอสพลานาด (รัชดาภิเษก) ตามด้วย ลา วิลล่า (ตรงข้าม ซ.อารี ถ.พหลโยธิน) ในช่วงไตรมาสที่สอง และโครงการ The Zpell ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต และเมกะ บางนา

“ในปี 2558 บริษัทฯ กำหนดงบฯ ลงทุนประมาณ 50 ล้านบาทในการเปิดสาขาทั้งในลักษณะคีออสก์ ขนาดพื้นที่ 25-35 ตารางเมตร พร้อมตู้กดโยเกิร์ตมูลค่าเครื่องละ 9 แสนบาท จำนวน 4 ตู้ ภายใต้งบฯ ลงทุนสาขาละ 5 ล้านบาท ส่วนการลงทุนเปิดร้านขนาดพื้นที่ 80-160 ตารางเมตร พร้อมตู้กดโยเกิร์ตจำนวน 6-8 ตู้ ใช้งบฯ ลงทุน สาขาละ 6-7 ล้านบาท”

บริษัทฯ จะใช้งบประมาณ 6-7 ล้านบาทในการดำเนินงานด้านการตลาดและสร้างความรู้ให้ผู้บริโภคในลักษณะ Local Area Marketing โดยเน้นการแนะนำสินค้าและประชาสัมพันธ์โดยตรงกับกลุ่มลูกค้าในอาคารสำนักงานและสถาบันการศึกษาภายในรัศมี 5 กิโลเมตรของแต่ละสาขา พร้อมกันนั้นยังจะจัดกิจกรรมให้ลูกค้าทดลองชิมฟรีภายในร้านทุกสาขา โดยยังมีแคมเปญพิเศษมอบให้ลูกค้าที่เช็กอิน ณ จุดขาย พร้อมโพสต์รูปภาพในเฟซบุ๊ก หรืออินสตาแกรม จะได้รับส่วนลดทันที 10-20% ขณะเดียวกันยังมีแคมเปญ Real Rewards ให้ลูกค้าสะสมแต้มเพื่อรับส่วนลดเพิ่มอีกด้วย

นายพรศักดิ์ยังกล่าวถึงแผนงานอนาคตว่า เนื่องจากบริษัทฯ ได้รับ Master License อย่างเป็นทางการจากสหรัฐอเมริกาเพียงรายเดียวในภูมิภาคอาเซียน จึงเตรียมจะขยายการลงทุนไปยังประเทศมาเลเซียประมาณ 8 สาขาภายในปี 2559 จากนั้นจะเปิดสาขาในประเทศสิงคโปร์ประมาณ 4 แห่งในปี 2560 โดยใช้งบลงทุนประเทศละประมาณ 50 บาท

“บริษัทฯ ยังมีแผนเพิ่มรสชาติใหม่เพื่อเพิ่มความหลากหลายให้ผู้บริโภคในเทศกาลต่างๆ เช่น วาเลนไทน์ สงกรานต์ และอื่นๆ ตามแคมเปญ Flavor Quest ที่จะมีการจัดในประเทศต่างๆ ตามความเหมาะสม พร้อมจะเปิดจำหน่ายในลักษณะ To Go เพื่อให้ลูกค้าสามารถซื้อกลับไปรับประทานที่บ้าน หรือสถานที่ต่างๆ โดยอาจจะมีการให้บริการในลักษณะส่งถึงบ้าน หรือดีลิเวอรี รวมถึงอาจเปิดแฟรนไชส์เป็นลำดับต่อไป”

“โยเกิร์ตแลนด์” เป็นหนึ่งในแบรนด์โยเกิร์ตแบบบริการตนเองรายแรกที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา โดยมีนวัตกรรมรสชาติใหม่ๆ ให้ผู้บริโภคเลือกมากกว่า 100 รสชาติ ขณะที่การเปิดตลาดในประเทศไทยเริ่มต้นด้วย 17 รสชาติ อาทิ Chocolate Milkshake, Sumatra Coffee Blend, Fresh Strawberry, French Vanilla, Bananas Foster, Mango Mixer, Dulce Licious, Matcha Green Yea เป็นต้น

จุดเด่นของ “โยเกิร์ตแลนด์” อยู่ที่รสชาติที่ผลิตจากวัตถุดิบส่วนผสมแท้ของจริงทั้งหมดจากน้ำนมแคลิฟอร์เนียและผลไม้แท้สดใหม่จากแหล่งต้นกำเนิด เช่น ฝักวานิลลาจากประเทศมาดากัสการ์ และช็อกโกแลตจากประเทศเบลเยียม พร้อมท็อปปิ้งบาร์กว่า 45 ชนิด ขณะที่ภาชนะถ้วยและช้อนตักโยเกิร์ตยังผลิตจากวัสดุที่ย่อยสลายได้ 100%

อนึ่ง ในปี 2557 “โยเกิร์ตแลนด์” มีรายได้กว่า 4 พันล้านบาทจากจำนวนสาขากว่า 300 แห่งในสหรัฐอเมริกา เม็กซิโก เวเนซุเอลา ออสเตรเลีย กวม และดูไบ โดยมีเป้าหมายจะขยายสาขากว่า 550 แห่งภายในปี 2558




กำลังโหลดความคิดเห็น