xs
xsm
sm
md
lg

“ศรีไทย” ชูธุรกิจเครือข่ายต่างประเทศ แผน 3 ปีทำรายได้รวม 5 พันล้านบาท

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“เศรษฐพงศ์ เหมินทคุณ” รองกรรมการผู้จัดการด้านธุรกิจเครือข่าย “ศรีไทย เน็ทเวิร์ค” บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน)
“ศรีไทยซุปเปอร์แวร์” ทุ่ม 50 ล้านบาทรีแบรนดิ้ง “เอสเนเจอร์” เป็น “ศรีไทย เน็ทเวิร์ค” หลังได้สมาชิกครบ 1 แสนราย เร่งชู 2 สินค้าเรือธงอาหารเสริมและปุ๋ยอินทรีย์ดันยอดขาย 1 พันล้านบาทในปี 58 พร้อมขยายตลาดต่างประเทศ เฟสแรกครอบคลุมพม่า ลาว กัมพูชา มาเลย์ สิงคโปร์ อินโดฯ เวียดนาม และอินเดีย หวังดันยอดขาย 5 พันล้านบาทก่อนปี 61

นายเศรษฐพงศ์ เหมินทคุณ รองกรรมการผู้จัดการด้านธุรกิจเครือข่าย “ศรีไทย เน็ทเวิร์ค” บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสครบรอบการดำเนินงาน 52 ปี บริษัทฯ จึงมีการจำแนกธุรกิจแต่ละประเภทอย่างชัดเจน พร้อมปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ทันสมัย ทั้งในส่วนของบริษัทแม่คือ “ศรีไทยซุปเปอร์แวร์” ธุรกิจขายตรงชั้นเดียว “ศรีไทย ไดเร็คเซลส์” และธุรกิจเครือข่ายขายตรง “ศรีไทย เน็ทเวิร์ค”

ในส่วนของ “ศรีไทย เน็ทเวิร์ค” ยังถือเป็นการเปลี่ยนชื่อใหม่จากเดิมคือ “เอส เนเจอร์” (SNATUR) และถือเป็นการรีแบรนดิ้งครั้งที่ 2 หลังจากก่อนหน้านี้ที่เคยปรับโลโก้มาแล้ว โดยครั้งนี้บริษัทฯ ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 50 ล้านบาท พร้อมขยายพื้นที่สำนักงานใหญ่ ณ อาคารภคินทร์ ถ.รัชดาภิเษก (เยื้องเซ็นทรัล พระรามเก้า) เพิ่มเป็น 1.1 พันตารางเมตร เพื่อรองรับจำนวนสมาชิกและนักธุรกิจเครือข่ายที่มีประมาณ 1 แสนรายและคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 50% ภายในปี 2558

สำหรับผลการดำเนินงานของ “ศรีไทย เน็ทเวิร์ค” ในปี 2557 มียอดขายเติบโตขึ้นจากปีก่อน 50% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 500 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนของธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อการเกษตร (ปุ๋ยอินทรีย์) “เอส-แมทริกซ์” (S-Matrix) 40% ธุรกิจอาหารเสริม “ฟูดแมทริกซ์” (FOODMATRIX) 40% และอื่นๆ 20% โดยคาดว่าในปี 2558 จะสามารถทำยอดขายเติบโตขึ้น 100% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1 พันล้านบาท โดยมีปัจจัยมาจากการเติบโตของธุรกิจผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตรและการผลักดันโครงการ “เอส-แมทริกซ์ เซ็นเตอร์” 1 อำเภอ 1 เซ็นเตอร์

โครงการ “เอส-แมทริกซ์ เซ็นเตอร์” เป็นการเปิดโอกาสให้สมาชิกและนักธุรกิจเครือข่ายเปิดศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อการเกษตร “เอส-แมทริกซ์” ทั้งในลักษณะขายปลีกและขายผ่านเครือข่าย ด้วยขนาดเงินลงทุนเซ็นเตอร์ละประมาณ 4.5-5 แสนบาท โดยตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2558 จะสามารถเปิดได้ครบ 888 อำเภอทั่วประเทศจากปัจจุบันที่เปิดแล้ว 540 อำเภอ

“เหตุที่บริษัทฯ เน้นตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อการเกษตรเนื่องจากมั่นใจในคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตได้มากกว่าการใช้ปุ๋ยเคมีถึง 50% ในขณะที่ตลาดรวมมีมูลค่าสูงถึง 2 แสนล้านบาท จึงทำให้มีช่องว่างในการทำตลาดอีกมาก ขณะที่ธุรกิจอาหารเสริมในระบบธุรกิจเครือข่ายมีมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทฯ สามารถทำยอดขายเติบโตขึ้นถึง 40% ในปี 2557”

นายเศรษฐพงศ์ยังกล่าวถึงแผนขยายตลาดต่างประเทศด้วยว่า ปัจจุบันบริษัทฯ เปิดดำเนินธุรกิจเครือข่ายแล้วใน 3 ประเทศ ได้แก่ พม่า โดยล่าสุดมีการลงทุน 50 ล้านบาทเพื่อก่อสร้างสำนักงานแห่งใหม่ที่กรุงย่างกุ้ง หลังจากที่ประสบความสำเร็จด้านยอดขายในระดับที่น่าพอใจ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของรายได้ทั้งหมดได้ ขณะที่ผลการดำเนินงานในประเทศลาว และกัมพูชา คิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 5%

สำหรับปี 2558 บริษัทฯ จะขยายตลาดเพิ่มขึ้นในประเทศมาเลเซีย ซึ่งได้มีการจดทะเบียนบริษัทและได้รับใบอนุญาตการประกอบธุรกิจเครือข่ายแล้ว โดยขณะนี้กำลังดำเนินการขอใบอนุญาตการจำหน่ายสินค้าประมาณ 12 รายการ คาดว่าจะเริ่มดำเนินธุรกิจอย่างเป็นทางการได้ภายในไตรมาสแรกของปี 2558 จากนั้นจะเริ่มขยายตลาดประเทศสิงคโปร์ในไตรมาสที่สอง ควบคู่ไปกับการขยายตลาดประเทศอินโดนีเซียในไตรมาสที่สาม ก่อนที่จะขยายตลาดต่างประเทศในเฟสแรกไปยังเวียดนาม และอินเดียเป็นลำดับต่อไป

“ก่อนหน้านี้บริษัทฯ มีแผนที่จะขยายตลาดประเทศอินเดียก่อนเนื่องจากมีฐานสมาชิกและลูกค้าของธุรกิจขายตรงมาเป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว แต่เนื่องจากในปี 2557 มีสมาชิกในพื้นที่ติดชายแดนภาคใต้ที่มีเชื้อชาติไทย สัญชาติมาเลเซีย เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงทำให้ต้องปรับแผนธุรกิจใหม่ โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีรายได้ในประเทศ 85% ต่างประเทศ 15% พร้อมตั้งเป้าหมายว่าในปี 2558 จะขยายสัดส่วนตลาดต่างประเทศเป็น 20% และเพิ่มเป็น 30% ในปี 2559 ก่อนที่จะเป็น 50% ภายในปี 2561 พร้อมทำยอดรวมได้ประมาณ 5 พันล้านบาท” นายเศรษฐพงศ์กล่าวในที่สุด




กำลังโหลดความคิดเห็น