“โออิชิ” ผนึกค้าปลีกญี่ปุ่น ทุ่ม 800 ล้านบาทผุดครัวกลาง

ASTVผู้จัดการรายวัน - “โออิชิ” ทุ่ม 800 ล้านบาทสร้างครัวกลางมาตรฐาน รองรับขยายธุรกิจทั้งสาขาในไทยและต่างประเทศ พร้อมลุยผลิตอาหารป้อนต่างประเทศ ผนึกค้าปลีกใหญ่ญี่ปุ่น เจรจาออเดอร์เกี๊ยวซ่า ส่งผ่านซูเปอร์มาร์เกตทั่วญี่ปุ่น ซุ่มลุยข้าวกล่องปีหน้าในไทย

นายไพศาล อ่าวสถาพร รองกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจอาหาร บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตามแผนการขยายธุรกิจและสร้างการเติบโตทั้งในไทยและต่างประเทศ บริษัทฯ จึงได้ลงทุนประมาณ 800 ล้านบาทเพื่อก่อสร้างครัวกลางแห่งใหม่บริเวณ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี พื้นที่รวมทั้งหมด 195 ไร่ แต่เบื้องต้นนี้ใช้ไปประมาณ 43 ไร่ ซึ่งถือว่าเป็นครัวกลางอาหารที่ใหญ่ที่สุดในไทยและมีความทันสมัยระดับโลก ซึ่งเริ่มดำเนินการผลิตแล้วเมื่อวันที่ 4 พ.ย.ที่ผ่านมา จากเดิมอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมนวนคร เป็นโรงงานที่ผลิตทั้งอาหารและเครื่องดื่มจึงต้องการแยกออกมา

ครัวกลางดังกล่าวแบ่งเป็น โซนอาหารสุก และโซนอาหารดิบ โดยทำการผลิตอาหารที่หลากหลาย เช่น ซุป, ซอสผลิตอาหาร, แล่ปลา, เนื้อหมูตัดแต่ง, กุ้ง, เกี๊ยวซ่า, แซนด์วิช เพื่อจัดส่งให้ร้านอาหารในเครือ “โออิชิ” และยังส่งให้ร้านค้าปลีกจำหน่ายด้วย เช่น เซเว่นอีเลฟเว่น และซูเปอร์มาร์เกตต่างๆ ซึ่งขณะนี้ใช้กำลังการผลิตเพียง 30% ของกำลังผลิตจริงคือ เกี๊ยวซ่า 14 ล้านชิ้นต่อเดือน, แซนด์วิช 2 ล้านชิ้นต่อเดือน, ขนมปังแซนด์วิช 4 ล้านชิ้นต่อเดือน, ซุปและซอส 1,600 ตันต่อเดือน ซึ่งกำลังผลิตที่เหลืออยู่นั้นเพื่อรองรับอนาคต

“กำลังผลิตจากครัวกลางนี้ นอกจากผลิตส่งให้ร้านอาหารในเครือข่ายของโออิชิแล้ว ยังเป็นการส่งออกไปตลาดต่างประเทศด้วย ทั้งในรูปแบบแบรนด์โออิชิกับการรับจ้างผลิต หรือโออีเอ็ม” นายไพศาลกล่าว

สำหรับสัดส่วนรายได้ของร้านอาหารในเครือโออิชิมาจากแบรนด์ “ชาบูชิ” เป็นหลักมากกว่า 60% รองลงมาคือ “โออิชิ บุฟเฟต์” 30% และแบรนด์อื่น 10% โดยปัจจุบัน “โออิชิ” มีร้านอาหารในเครือในประเทศไทยรวมกัน 212 สาขา แบ่งเป็นร้าน “ชาบูชิ” 104 สาขา, ร้าน “โออิชิ ราเมง” 55 สาขา, ร้าน “โออิชิ บุฟเฟต์” 19 สาขา และร้าน “โออิชิ แกรนด์” 1 สาขา ที่เหลือเป็นร้าน “นิกุยะ” และร้าน “คาคาชิ” จำนวน 33 สาขา ทั้งนี้คาดว่าช่วงปลายปีนี้จะมีการเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 13 สาขาจากทุกแบรนด์รวมกัน ส่งผลให้สิ้นปีนี้มีสาขารวม 225 สาขา โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะขยายสาขาในไทยเฉลี่ย 50 สาขาต่อปีเป็นอย่างต่ำ

ขณะที่ตลาดต่างประเทศนั้นก็จะมีต่อเนื่อง โดยเฉพาะจะเน้นเปิดตลาดแบรนด์ “ชาบูชิ” คาดว่าจะขยายได้ไม่เกิน 5 สาขาในแต่ละประเทศ ลงทุนสาขาละ 18 ล้านบาท โดยในปี 2558 มีแผนที่จะขยายสาขาในตลาดประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว และกัมพูชา จากปัจจุบันมีสาขาในต่างประเทศที่เปิดบริการแล้ว เช่น ที่พม่า เปิดที่เมืองย่างกุ้ง และมัณฑะเลย์ และเตรียมที่จะเปิดอีก 1 สาขาในเดือน ธ.ค. 57 โดยที่พม่านี้เป็นการร่วมทุนระหว่างโออิชิกับพันธมิตร แต่นโยบายบริษัทฯ จะมีทั้งการร่วมทุนกับลงทุนเองแล้วแต่กรณี

สำหรับประเด็นตลาดส่งออกนั้นจะมีทั้งการส่งออกภายใต้แบรนด์ของ “โออิชิ” กับการรับจ้างผลิตให้ลูกค้าองค์กรต่างประเทศต่างๆ ซึ่งสินค้าที่จะเน้นทำตลาดส่วนนี้คือ เกี๊ยวซ่า กุ้ง ไก่ และผัก พร้อมทำโออีเอ็ม อาหารแปรรูป และสินค้า “เซมิ โพรเซส” เช่น ลูกชิ้น เกี๊ยวปลา เป็นต้น

ล่าสุด บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจากับทางกลุ่มค้าปลีกรายใหญ่ในประเทศญี่ปุ่นที่สนใจจะสั่งเราผลิตเพื่อป้อนส่งให้ ซึ่งผู้สนใจรายนี้จะนำไปจัดส่งต่อให้กับร้านซูเปอร์มาร์เกตในญี่ปุ่นอีกเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังได้รับการติดต่อจากต่างประเทศอีกหลายราย เช่น ปัจจุบันมีหลายบริษัทบางประเทศเริ่มติดต่อให้ทำออเดอร์ให้ ได้แก่ ดูไบ, จีน และญี่ปุ่น คาดเริ่มส่งออกและโออีเอ็มได้ในปี 2558 โดยตั้งเป้าหมายรายได้จากการส่งออกประมาณ 3 พันล้านบาทภายใน 5 ปี (ปี 2558-2562)

นายไพศาลกล่าวต่อว่า ปีหน้าบริษัทฯ ยังมีแผนที่จะรุกตลาดอาหารกล่องอีกด้วยในชื่อแบรนด์ว่า “โออิชิ เทรนด์ดี้” หลังจากที่ผ่านมาได้เริ่มทดลองจำหน่ายให้พนักงานในเครือก่อน และได้รับการตอบรับดี เบื้องต้นจะจำหน่ายเฉพาะในเทสโก้โลตัสก่อน มี 3 เมนูวางตลาด คือ ข้าวหมูสไปซี่, ข้าวหมูซอสญี่ปุ่น และข้าวไก่เทอริยากิ ราคาจำหน่ายประมาณ 75 บาท

“จากแผนการขยายธุรกิจนี้ บริษัทฯ วางเป้าหมายว่าภายในปี 2561 ยอดขายรวมของธุรกิจอาหารของโออิชิจะมีประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท โดยใช้งบลงทุนเฉลี่ยต่อปี 600-700 ล้านบาท ส่วนปีนี้คาดว่าธุรกิจอาหารโออิชิจะมีรายได้รวมประมาณ 7 พันล้านบาท เติบโต 15% เพิ่มจากปีก่อนที่มีรายได้กลุ่มอาหารรวม 6 พันล้านบาท โดยยอมรับว่าปีนี้ทำธุรกิจเหนื่อยกว่าปีก่อนมาก” นายไพศาลกล่าวในที่สุด