“ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป” ผู้บริหารจัดการแบรนด์โรงแรม รีสอร์ต และเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ 4 แบรนด์ดัง “อมารี-ชามา-โอโซ-ซัฟฟรอน” เผยแผนพัฒนาธุรกิจโรงแรมสัญชาติไทย 50 แห่งใน 10 ปี เข้าเป้าเพียง 6 ปี พร้อมทำกำไร 85% เร่งเพิ่มยอดใหม่เป็น 81 แห่งภายในปี 2561 และทำกำไร 3 เท่าจากปี 2551 คาดแนวโน้มธุรกิจโรงแรมในภูมิภาคเอเชียและกระแส “ออนไลน์ มาร์เกตติ้ง” จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดหลังเปิดเออีซี
นายปีเตอร์ เฮนลี่ย์ ประธานกรรมการและประธานบริหาร “ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป” (ONYX Hospitality Group : OHG) ผู้นำด้านบริหารแบรนด์โรงแรม รีสอร์ต และเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ชั้นนำของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เปิดเผยว่า “ออนิกซ์ฯ” ในประเทศไทยเริ่มเป็นที่รู้จักในนามของ “อมารี โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท” เมื่อปี 2551 ซึ่งถือเป็นแผนพัฒนาธุรกิจเชิงรุกระยะเวลา 10 ปีในการนำเครือโรงแรมสัญชาติไทยให้มีการพัฒนาขึ้น โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้บริหารจัดการชั้นนำด้านการบริการในภูมิภาคเอเชียภายในปี 2561
ตามแผนพัฒนาธุรกิจ 10 ปีของ “ออนิกซ์ฯ” มีเป้าหมายที่จะมีผลประกอบการเติบโตขั้นต้น (Gross Operating Profit) 3 เท่า พร้อมบริหารจัดการแบรนด์โรงแรม รีสอร์ต และเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์อย่างน้อย 50 แห่งภายในปี 2561 นับตั้งแต่ปี 2551 ซึ่ง “ออนิกซ์ฯ” บริหารจัดการโรงแรมอมารี 11 แห่ง และโรงแรมภายใต้เครือ “โมเสค คอลเลกชั่น” (The Mosaic Collection) ซึ่งมีลักษณะเป็นโรงแรมที่ยังไม่ได้เปลี่ยนชื่อใหม่ 4 แห่งรวมเป็น 15 แห่ง คิดเป็นจำนวน 3,788 ห้อง ภายใต้ 4 แบรนด์ คือ อมารี, ชามา, โอโซ และซัฟฟรอน
สำหรับปี 2557 “ออนิกซ์ฯ” ให้บริการด้านบริหารจัดการแบรนด์โรงแรมแล้วถึง 51 แห่ง แบ่งเป็นโรงแรมที่เปิดให้บริการแล้ว 37 แห่ง คิดเป็นจำนวน 6,014 ห้อง ภายใต้เครือ “อมารี” 13 แห่ง (ประเทศไทย 11 แห่ง กาตาร์ 1 แห่ง และบังกลาเทศ 1 แห่ง) เครือ “ชามา” 10 แห่ง (ประเทศไทย 1 แห่ง จีน 5 แห่ง และฮ่องกง 4 แห่ง) เครือ “โอโซ” 4 แห่ง (ประเทศไทย 2 แห่ง ฮ่องกง 1 แห่ง และศรีลังกา 1 แห่ง) โรงแรมโอเรียนเต็ล เรสซิเดนซ์ กรุงเทพฯ 1 แห่ง และโรงแรมภายใต้เครือ “โมเสค คอลเลกชั่น” 9 แห่ง (ประเทศไทย 8 แห่ง และจีน 1 แห่ง) นอกจากนี้ยังมีโครงการที่กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างอีก 14 แห่ง แบ่งเป็นเครือ “อมารี” 6 แห่ง เครือ “ชามา” 3 แห่ง เครือ “โอโซ” 3 แห่ง และเครือ “โมเสค คอลเลกชั่น” 2 แห่ง
“จากผลการดำเนินงานดังกล่าวเท่ากับเราสามารถดำเนินงานได้เกินเป้าหมายที่วางไว้ 50 แห่งด้วยระยะเวลาเพียง 6 ปี พร้อมมีกำไรเติบโตของผลประกอบการขั้นต้นกว่า 85% นับตั้งแต่ปี 2551 จึงทำให้เราต้องปรับเป้าหมายใหม่เป็น 81 แห่งภายในปี 2561 คิดเป็นโรงแรมที่เปิดให้บริการแล้ว 65 แห่ง และอยู่ในระหว่างการก่อสร้างอีก 16 แห่ง” นายปีเตอร์ เฮนลี่ย์ กล่าว
ในปี 2557 คาดว่าจะมีผลประกอบการได้มากกว่าปี 2556 สูงถึง 12% คิดเป็นสัดส่วนรายได้ภายในประเทศ 75% ต่างประเทศ 25% โดยคาดว่าตั้งแต่ปี 2558 ตลาดรวมจะเติบโตประมาณ 20-25% พร้อมส่งผลให้สัดส่วนรายได้ต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นด้วย เนื่องจากแบรนด์ต่างๆ เริ่มขยายธุรกิจไปต่างประเทศมากขึ้น
นายปีเตอร์ เฮนลี่ย์ กล่าวอีกว่า เหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองจนส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงสำหรับการลงทุนด้านธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยแต่อย่างใด เพราะยังคงมีศักยภาพและโอกาสการพัฒนาธุรกิจ ตลอดจนข้อได้เปรียบในด้านต่างๆ มากกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน ขณะเดียวกัน “ออนิกซ์ฯ” ก็ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากมีการปรับแผนการตลาดต่างประเทศเพื่อรองรับสถานการณ์เศรษฐกิจช่วงขาลงอยู่แล้ว
“แนวโน้มธุรกิจโรงแรมของภูมิภาคเอเชียภายใน 5 ปีจะยังคงไปได้ดีอีกมาก โดยเฉพาะหลังจากเปิดเขตประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนซึ่งจะทำให้มีนักเดินทางในภูมิภาคเอเชียเพิ่มมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่อาจจะเปลี่ยนรูปแบบจากความนิยมโรงแรมระดับ 5 ดาวเป็น Limited Service Hotel มากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการกลุ่มลูกค้าระดับกลางที่มีรายได้สูงขึ้น ขณะเดียวกัน กระแสการใช้อินเทอร์เน็ตในการเดินทางและจองที่พักก็จะมากขึ้น ส่งผลให้ระบบออนไลน์ มาร์เกตติ้งของธุรกิจโรงแรมเป็นทางเลือกสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค” นายปีเตอร์ เฮนลี่ย์ กล่าวในที่สุด