“กกร.” ประเมินส่งออกปีนี้มีโอกาสไม่โตหรือเลวร้ายสุดอาจติดลบ 1% หากไม่สามารถทำตัวเลขส่งออก 3 เดือนสุดท้ายโตเท่า 3 เดือนที่ผ่านมาได้ ยอมรับกังวลเหตุตัวเลขล่าสุดไม่สู้ดี ขณะสมาคมธนาคารไทยส่งสัญญาณผู้ส่งออกรับมือค่าเงินบาทผันผวนหนักในอีก 3-6 เดือนข้างหน้า
นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วย สภาหอฯ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยหลังการประชุม กกร.เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ว่า กกร.ได้หารือถึงทิศทางภาวะเศรษฐกิจของไทยโดยเฉพาะการส่งออกที่เป็นห่วงว่าภาพรวมปี 2557 ที่อาจไม่โตหรืออาจติดลบเนื่องจากตัวเลขส่งออก ส.ค.ที่ผ่านมาติดลบ 7.4% เพราะทิศทางเศรษฐกิจจีนเริ่มชะลอตัว ขณะที่สหรัฐอเมริกา และยุโรปยังไม่ฟื้นตัว ประกอบกับสินค้าภาคเกษตรแม้จะส่งออกในปริมาณที่มากแต่ราคากลับลดลงเกือบทุกชนิดทั้งข้าว ยางพารา น้ำตาล เป็นต้น
“ส่งออกที่ดีตอนนี้ก็มีการค้าชายแดนที่จะยังโต 10% ท่องเที่ยวก็เริ่มกลับมาฟื้นตัวบ้าง แต่การบริโภคในประเทศแผ่วลงไม่ดีเท่าที่ควร ก็ยังหวังว่าไตรมาส 4 การส่งออกจะมีเข้ามาบ้างจากจีนแต่ก็เหลือเวลาไม่มากนักเพราะใกล้ปีใหม่แล้ว ซึ่งหลังจากนี้จะได้มาดูเชิงลึกกันต่อไปเพื่อที่จะหามาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจ” นายอิสระกล่าว
นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการปฏิรูปการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ที่จะมีการเสนอสู่ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมรัฐและเอกชน หรือ กรอ. ในเร็วๆ นี้ ซึ่งหลักการระบบรางจะช่วยลดต้นทุนด้านขนส่งของไทยและยังลดอุบัติเหตุและพลังงาน ซึ่งข้อสรุปดำเนินการคือควรปฏิรูป 4 เรื่อง ได้แก่ 1. การจัดตั้งคณะกรรมการปฏิรูประบบรางที่มีองค์ประกอบหลัก ได้แก่ กระทรวงคมนาคม คลัง สำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน กำหนดกรอบให้ชัดภายใน 1 ปี 2. ปรับโครงสร้างองค์กรเป็นแบบกระจายอำนาจลดซ้ำซ้อน มีตัวชี้วัดการดำเนินงาน 3. ตั้งคณะทำงานการขนส่งทางราง และ 4. การสื่อสารที่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงและสร้างความเชื่อมั่นโดยผู้บริหารระดับสูงในการเปลี่ยนแปลงองค์กร
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ส่งออกที่เราวิเคราะห์มีโอกาสที่จะติดลบ โดยกรณีเลวร้ายสุดจะติดลบได้ถึง 0.8-1% หากปริมาณการส่งออกใน 3 เดือนสุดท้ายนี้โตต่ำกว่าในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ปีนี้คาดว่าจะโตได้ระดับ 1.5-2% เนื่องจากจะมีเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจจากการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐหมุนเวียนในระบบช่วงไตรมาสสุดท้ายปีนี้ได้อีกประมาณ 1 แสนล้านบาทจากงบประมาณที่วางไว้ 3.6 แสนล้านบาท
“สำหรับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าขณะนี้นั้นยังมองว่าเป็นไปตามภูมิภาคแต่ก็ยังอ่อนค่าน้อยกว่าในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม 3-6 เดือนข้างหน้ามองว่าค่าเงินบาทจะผันผวนเพราะมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือคิวอี จะจบในเดือน ต.ค.นี้แล้ว ดังนั้นขั้นตอนต่อไปของสหรัฐอเมริกาจะมีการพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่ขณะที่ยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยแต่มีข่าวว่าจะขึ้นแต่ไม่รู้เท่าใดแน่ก็จะมีความผัวผวนสูงมากจนกว่าจะขึ้นจริงๆ ดังนั้นระยะนี้ผู้ส่งออกก็ควรจะต้องมีแนวทางบริหารความเสี่ยงจากค่าเงินไว้รองรับ” นายบุญทักษ์กล่าว
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ขณะนี้ออเดอร์ส่งออกเริ่มทยอยปิดแล้วเนื่องจากเดือน ธ.ค.ทางสหรัฐฯ และยุโรปก็จะเข้าสู่เทศกาลหยุดยาว ดังนั้นสิ่งที่จะต้องติดตามลุ้นการเพิ่มยอดส่งออกจะเป็นการค้าชายแดนและการค้าในประเทศแถบเอเชียเท่านั้น อย่างไรก็ตามก็คาดหวังว่าส่งออกปี 2558 จะโต และจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะขับเคลื่อนได้เป็นรูปธรรมมากขึ้น GDP ปี 2558 จะโตได้ 3.5-4%