ASTVผู้จัดการรายวัน - กลุ่มทุนอสังหาฯ สบช่องลุยตลาด “คอมมูนิตี้มอลล์” ทุ่ม 400 ล้านบาทเปิดตัวโครงการแรกบนพื้นที่ 6 ไร่ย่านถนนจันทน์ ก่อนติดใจทุ่มงบฯ อีก 300 ล้านบาท เดินหน้าโครงการใหม่ที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี หวังสร้างความแตกต่างเป็นจุดแข็งเจาะลูกค้ากลุ่ม “นิช มาร์เก็ต”
นายวรพจน์ พรธิสาร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีเวลลอปเมนท์ แบงคอก จำกัด เปิดเผยว่า จากพื้นฐานการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ด้านอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักมานานนับ 20 ปี ทำให้มองเห็นโอกาสขยายธุรกิจใหม่ๆ จึงตัดสินใจใช้งบประมาณ 400 ล้านบาทในการลงทุนสร้างแลนด์มาร์คแหล่งช้อปปิ้งใหม่ในรูปแบบ Creativity Mall แห่งแรกในประเทศไทย ภายใต้ชื่อโครงการ “วนิลา มูน” บริเวณ ถ.จันทน์ 37 เขตสาทร กรุงเทพฯ โดยเพิ่งจัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยคาดว่าภายในปี 2557 จะทำรายได้ประมาณ 50 ล้านบาทและสามารถคืนทุนได้ภายใน 8-10 ปี
ล่าสุด บริษัทฯ เริ่มเตรียมแผนการลงทุนโครงการใหม่ โดยตัดสินใจเลือกทำเลบริเวณ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ซึ่งมีรอยต่อติดกับ จ.ระยอง คาดว่าจะเริ่มลงมือก่อสร้างได้ในช่วงต้นปี 2558 และสามารถเปิดตัวอย่างเป็นทางการได้ภายในปี 2559 โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 300 ล้านบาท บนพื้นที่ทั้งหมด 12 ไร่ซึ่งมีทั้งการซื้อและเช่า แบ่งการลงทุนเป็นเฟสแรกบนพื้นที่ 6 ไร่และเฟสสอง 6 ไร่ คาดว่าจะสามารถคืนทุนได้ในเวลา 7-8 ปี
“การลงทุนโครงการใหม่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะใช้ชื่อโครงการใด แต่จะยังคงมีคำว่า วนิลา เป็นหลัก โดยกำหนดเป็นการลงทุนเอง 80% และเปิดโอกาสให้พันธมิตรท้องถิ่นร่วมลงทุน 20% ขณะที่ร้านค้าพันธมิตรที่จะมาร่วมโครงการฯ ยังคงเป็นแบรนด์ชั้นนำจากส่วนกลางและต่างประเทศ 70% และแบรนด์ท้องถิ่น 30%”
นายวรพจน์ กล่าวด้วยว่า บริษัทฯ ยังมีแผนลงทุนโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะเห็นว่าไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่มีความหลากหลายในการเลือกท่องเที่ยว รับประทานอาหาร และช้อปปิ้งมากขึ้น จึงคาดว่าในช่วง 3 ปีนับจากนี้จะมีโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ใหม่ๆ เกิดขึ้นอีกหลายโครงการและมีการแข่งขันที่รุนแรงยิ่งขึ้น ทั้งในพื้นที่ใจกกลางเมือง ริมน้ำ ชานเมือง รวมถึงต่างจังหวัด ขณะที่ผู้ประกอบการจะเริ่มมีการนำแนวคิดใหม่ๆ ที่เจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะมากขึ้น พร้อมกับนำร้านค้าที่คู่แข่งไม่มีเข้ามาเปิดให้บริการ สร้างเป็นสถานที่รับประทานอาหาร ท่องเที่ยว และช้อปปิ้ง เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์กลุ่มเป้าหมายนิชมาร์เก็ต เพื่อสร้างความแตกต่างในการแข่งขันกับห้างสรรพสินค้าที่เริ่มขยายตัวมาสู่ชานเมืองมากขึ้น
“บริษัทฯ มีการศึกษาและวิจัยตลาดก่อนเริ่มลงทุนจนพบว่า ทิศทางการแข่งขันของตลาดคอมมูนิตี้มอลล์เริ่มเป็นไปอย่างรุนแรงขึ้น ทั้งยังมีโครงการใหม่ๆ เปิดตัวอย่างมากมายและกระจายตัวแทบทุกพื้นที่ เพราะฉะนั้นการพัฒนาโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ใหม่ๆ จึงจำเป็นต้องมีการนำแนวคิดที่สร้างความแตกต่างจากโครงการอื่นๆ มาใช้ในการพัฒนาโครงการ โดยพิจารณาถึงปัจจัยหลักคือการอำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคภายในรัศมี 2-3 กิโลเมตรจากที่ตั้งโครงการ ทั้งยังคงต้องคำนึงถึงปัจจัยเสริมอื่นๆ เช่น กำลังซื้อและพฤติกรรมของผู้บริโภค รวมถึงการแข่งขันทั้งระหว่างคอมมูนิตี้มอลล์ด้วยกันเอง และห้างสรรพสินค้ารายใหญ่”
สำหรับ โครงการ “วนิลา มูน” เกิดขึ้นบนพื้นฐานที่เข้าถึงแหล่งชุมชนและคำนึงถึงไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบาย รวดเร็ว และประหยัดเวลาในการเลือกซื้อสินค้าและบริการที่ครบวงจร มีพื้นที่โครงการทั้งหมด 6 ไร่ รวมพื้นที่จอดรถ 300 คัน มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 2.5 หมื่นตารางเมตร แบ่งออกเป็น 5 ส่วน ประกอบด้วย ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ประมาณ 70 % สถาบันการศึกษาและกวดวิชา ประมาณ 20% ส่วนที่เหลือ 10% ได้แก่ ซูเปอร์มาร์เก็ต, บิวตี้และสปา, แฟชั่นและอื่นๆ ล่าสุดมีร้านค้าเปิดให้บริการแล้ว 40% ส่วนที่เหลือกำลังอยู่ในระหว่างการตกแต่ง รวม 72 ร้านค้า คาดว่าจะเปิดให้บริการเต็มพื้นที่ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 โดยพบว่าลูกค้าที่มาใช้บริการส่วนใหญ่มีกำลังซื้อค่อนข้างสูงเฉลี่ยคนละ 800 – 1,000 บาท
นายวรพจน์ กล่าวอีกว่า โครงการฯ ตั้งเป้าหมายว่าจะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการประมาณ 3-5 พันคนต่อวัน โดยเน้นลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่พักอาศัยและทำงานในรัศมี 2-3 กิโลเมตรจากพื้นที่โครงการ บริเวณ ถ.จันทน์ สาทร และนราธิวาสราชนครินทร์ มีรายได้ตั้งแต่ 5 หมื่น – 1 แสนบาท ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มครอบครัวทั้งสมัยใหม่และดั้งเดิม 30% ผู้ใช้เส้นทางทั่วไป 25% นักเรียน นักศึกษา และผู้ปกครอง 20% ข้าราชการและกลุ่มคนทำงาน 20% และนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ 5%
“ด้วยเหตุที่เรากำหนดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายหลักที่อยู่ในรัศมี 2-3 จากพื้นที่โครงการฯ จึงมีการตั้งงบประมาณ 10 ล้านบาทในการจัดกิจกรรมต่างๆ ภายในโครงการฯ เป็นหลักอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกสัปดาห์ เช่น การจัดคอนเสริ์ต การจัดแสดงสินค้าใหม่ และการส่งเสริมการขายในพื้นที่อื่นๆ โดยในอนาคตอันใกล้จะมีการใช้โซเชียลมีเดียทั้งเฟจบุค แฟนเพจ อินสตาแกรม และไลน์ในการตอกย้ำให้ผู้บริโภครู้จักโครงการฯ มากขึ้น”