ผู้ประกอบตัวถังและแชสซีส์รถยนต์โดยสารไทยมึนข่าว คสช.สั่งเร่งซื้อรถเมล์ NGV 3,183 คัน นัดประชุมวันนี้ ยันผู้ประกอบการในประเทศมีกำลังการผลิตพอไม่จำเป็นต้องใช้วิธีพิเศษนำเข้า ชี้เป็นนโยบายที่ไม่ส่งเสริมอุตสาหกรรมประกอบรถยนต์โดยสารในประเทศที่เป็นของคนไทย 100%
นายพิชิต ราชวงศ์ รองประธานกรรมการ บริษัท ทีซีแมนูแฟคเจอริ่ง แอนด์ แอสเซมบลีย์ จำกัด ในฐานะหัวหน้าคณะทำงาน กลุ่มผู้ประกอบการแชสซีส์รถยนต์โดยสาร และผู้ประกอบการตัวถังรถยนต์โดยสารเปิดเผยว่า ในวันนี้ (7 ส.ค.) ทางกลุ่มฯ จะหารือกันถึงกรณีที่ทางองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ได้ทำหนังสือสอบถามเรื่องการผลิตรถยนต์โดยสารภายในประเทศเพื่อรองรับโครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง (NGV) จํานวน 3,183 คัน วงเงิน 13,162.2 ล้านบาท ซึ่งขอยืนยันว่า ตาม TOR ที่ ขสมก.กำหนดให้ส่งมอบรถหลังจากลงนามสัญญา 180 วัน โดยทยอยเดือนละ 250 คันนั้นไม่มีปัญหาแน่นอน ผู้ประกอบการในประเทศมีกำลังการผลิตเพียงพอ เฉพาะบริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด รายเดียวมีกำลังผลิตประมาณ 100 คันต่อเดือน
โดยก่อนหน้านี้ช่วงระหว่างการร่างเงื่อนไขการประกวดราคา (TOR) ผู้ประกอบการได้มีความเห็นไปยัง ขสมก.แล้วว่า โครงการจัดหารถเมล์ NGV จำนวน 3,183 คัน วงเงิน 1.3 หมื่นล้านบาทนี้เป็นโครงการใหญ่ที่จะเกิดประโยชน์ต่อประเทศอย่างมาก และช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมภายในประเทศ ซึ่งในขณะนั้น ขสมก.กำหนด TOR ว่าให้ใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ เช่น เหล็ก กระจก เบาะ ยาง แบตเตอรี่ แต่ไม่ได้กำหนดว่าแชสซีส์ที่จะนำมาประกอบเป็นรถโดยสารต้องผลิตในประเทศ ซึ่งทางผู้ประกอบการในประเทศเห็นว่าปัจจุบันมีการผลิตรถยนต์โดยสารเพื่อการพาณิชย์ประมาณ 500 คันต่อปีตามคำสั่งซื้อ ซึ่งผู้ประกอบการยังเหลือกำลังการผลิตอีก ดังนั้นโครงการนี้ถือว่าจะเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมอย่างมาก เพราะจะทำให้เกิดการจ้างงาน เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี และไม่ว่าบริษัทใดจะชนะประมูล จะเข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศ และเมื่อผลิตรถส่งมอบครบตามกำหนดจะยังคงใช้ไทยเป็นฐานการผลิตได้ เป็นการต่อยอดการลงทุนที่คุ้มค่าต่ออุตสาหกรรมประกอบรถยนต์โดยสารในระยะยาวจะเติบโตได้อย่างยั่งยืน
“ล่าสุดมีข่าวว่า ทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีมติเห็นชอบโครงการไปแล้วและให้ ขสมก.เร่งรัดการจัดซื้อ โดยให้ซื้อเร่งด่วนภายในต้นปี 58 ทำให้เกิดความสับสนอย่างมาก เพราะก่อนหน้านี้ทาง คสช.ได้ให้ ขสมก.ทบทวนโครงการเพื่อให้โปร่งใส คุ้มค่าที่สุด และการเปลี่ยนวิธีการจัดซื้อจากประมูลอี-ออกชัน เป็นใช้วิธีพิเศษยิ่งสร้างความแปลกใจมากขึ้น
ผู้ประกอบการตัวถังเป็นคนไทย 100% ทำแบบนี้เท่ากับไม่ส่งเสริมอุตสาหกรรมในประเทศ ไม่ทราบว่า คสช.ใช้ข้อมูลจากแหล่งใดตัดสินใจ เศรษฐกิจประเทศยังตกต่ำเหตุใดไม่นำเม็ดเงินจากโครงการมาช่วยอุตสาหกรรมในประเทศ” นายพิชิตกล่าว
นายไพโรจน์ วงศ์วิภานนท์ ประธานคณะอนุกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชุดศึกษาเฝ้าระวังโครงการจัดซื้อรถเมล์ NGV จำนวน 3,183 คัน กล่าวว่า ป.ป.ช.ชุดใหญ่ได้รับทราบผลการตรวจสอบของคณะทำงานฯ แล้ว และได้ทำหนังสือให้ทางกระทรวงคมนาคมรับทราบด้วยว่า ควรยกเลิก TOR เดิมเนื่องจากไม่มีความคุ้มค่าทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม การเงิน และผู้ใช้ไม่สะดวก ไม่ปลอดภัย รถที่จะได้มาไม่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะราคากลางที่สูงเกินจริง และเสนอให้ 1. เปิดกว้างเรื่องเชื้อเพลิงให้ใช้ทั้งก๊าซ NGV และดีเซล ไม่ควรกำหนดสเปกรถเมล์ใหม่ ทั้งหมดเป็น NGV อย่างเดียว เพราะในระยะยาวการบำรุงรักษาเครื่องยนต์ดีเซลถูกกว่าเครื่องยนต์ NGV และเชื้อเพลิง NGV จะหมดไป โดยราคา NGV ที่ต่ำในปัจจุบันเกิดจากการอุดหนุนของภาครัฐ ขณะที่เทคโนโลยีพัฒนาให้เครื่องยนต์ดีเซลเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
2. เปิดกว้างรถทั้งขนาด 10 เมตร และ 12 เมตรเพื่อบริการที่หลากหลาย 4. ทยอยประมูลทีละล็อตเพื่อเปรียบเทียบราคา 5. เปิดกว้างทั้งแบบเช่า และซื้อ โดยรวมค่าซ่อมบำรุงให้ชัดเจนด้วย เพราะสามารถเปรียบเทียบราคาที่ดีที่สุดได้ และในอนาคต ขสมก.จะไม่มีภาระค่าซ่อมและลดพนักงานลงได้
นอกจากนี้ ทางนางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และ นายอดุมโชค ชูรัตน์ ประธานภาคีเครือข่ายรถเมล์เพื่อประชาชน ทุกคนขึ้นได้ทุกคัน ได้ยืนยันว่าการกำหนดคุณสมบัติรถธรรมดา (รถร้อน) จำนวน 1,659 คันที่เปิดกว้างให้ยื่นเสนอได้ทั้งรถชานต่ำ (ไร้บันได) มีทางลาด หรือรถกึ่งชานต่ำ หรือรถชานสูงที่ติดตั้งลิฟต์สำหรับรถ Wheel Chair ไม่เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จริงแก่ประชาชนทุกคนอีกด้วย