รฟม.ยันเปิดเดินรถสีม่วง (บางใหญ่-บางซื่อ) ช่วง ก.ย.-ต.ค. 59 ก่อนกำหนดอย่างน้อย 3 เดือน ด้าน “สมบัติ” เอ็มดี BMCL เผยเปิดสีม่วงจะทำให้ยุติการขาดทุนทันที เพราะจะมีรายได้จากค่าจ้างวิ่ง 1,700 ล้าน/ปี และจะส่งต่อผู้โดยสารเข้ารถไฟใต้ดินทำให้รายได้เพิ่มอีก 700 ล้าน/ปี ยืนยันพร้อมเจรจาเดินรถสีน้ำเงินส่วนต่อขยายค่าจ้างถูกกว่าประมูลแน่นอน เสนอทยอยเปิดเดินรถเป็นช่วงๆ ได้ไม่ต้องรอเสร็จทั้งสาย
นายยงสิทธิ์ โรจน์ศรีกุล ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่า การให้บริการเดินรถไฟฟ้าสายสีม่วงเหนือ ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ระยะทาง 23 กม. จำนวน 16 สถานี จะสามารถเปิดให้บริการได้ประมาณกลางปี 2559 ซึ่งเร็วกว่าแผนที่กำหนดไว้ประมาณ 3-6 เดือน โดยขณะนี้การก่อสร้างงานโยธามีความคืบหน้า 93.07% ล่าช้ากว่าแผน 1.11% ส่วนงานระบบสัญญา 4 สัมปทานจัดหาระบบและเดินรถไฟฟ้ามีความคืบหน้าประมาณ 20% คาดว่าเมื่อเปิดให้บริการจะมีจำนวนผู้โดยสารประมาณ 2 แสนคนต่อวัน ขณะที่การกำหนดอัตราค่าโดยสารจะต่ำแค่ไหนต้องขึ้นกับการอุดหนุนจากรัฐบาลด้วย
ทั้งนี้ วันนี้ (4 ส.ค.) บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BMCL ได้นำตู้รถไฟฟ้าต้นแบบสายสีม่วงมาแสดง ซึ่งบริษัทฯ ได้สั่งผลิตจากกลุ่มกิจการร่วมค้า มารุเบนิ-โตชิบา จากญี่ปุ่น เป็นผู้จัดหาขบวนรถไฟฟ้า ระบบจ่ายไฟฟ้า ระบบอาณัติสัญญาณ ระบบควบคุมและระบบติดต่อสื่อสาร และให้บริษัท เจแปน ทรานส์ปอร์ต เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (J-TREC) เป็นผู้ผลิตขบวนรถไฟฟ้า จำนวน 63 ตู้ โดยสัญญาจัดหาระบบและเดินรถไฟฟ้า วงเงิน 82,625 ล้านบาท อายุสัมปทาน 30 ปี โดยระหว่างนี้ยังเป็นช่วงการออกแบบที่สามารถปรับแก้ไขได้
นายสมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ BMCL กล่าวว่า บริษัทฯ จะได้รับมอบรถไฟฟ้าช่วงปลายปี 2558 โดยจะเริ่มทำการทดสอบแบบแยกระบบก่อนประมาณ 2-3 เดือน จากนั้นจะเป็นการทดสอบรวมระบบอีก 3 เดือน จึงจะทดสอบการเดินรถเสมือนจริงได้ ใช้เวลาอีก 3 เดือน คาดว่าจะเป็นช่วงเดือนกันยายนหรือเดือนตุลาคม 2559 โดยยืนยันว่าจะเปิดเดินรถให้บริการได้เร็วกว่าสัญญากำหนดแน่นอน ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ ยุติการขาดทุนทันทีที่รถไฟฟ้าสายสีม่วงเปิดเดินรถ เนื่องจากจะมีรายได้จากค่าจ้างเดินรถ 1,700 ล้านบาท และมีผู้โดยสารที่สายสีม่วงส่งต่อไปที่รถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงินเฉลิมรัชมลคล ประมาณ 7-8 หมื่นคนต่อวัน ทำให้รายได้ของสายสีน้ำเงินเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 700 ล้านบาทต่อปี และปริมาณผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้รายได้เชิงพาณิชย์ของบริษัทฯ เติบโตแบบก้าวกระโดดจากปัจจุบันโตเฉลี่ย 15% ต่อปี เป็น 20-30% ได้
โดยปริมาณผู้โดยสารของรถไฟฟ้าใต้ดินสายเฉลิมรัชมงคลอยู่ที่ประมาณ 2.6-2.7 แสนคนต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปี 2556 ที่มีประมาณ 2.3 แสนคนต่อวัน หรือเติบโตจากปี 2556 ประมาณ 4% ส่วนรายได้คาดว่าจะเติบโตประมาณ 7-10%
“สาเหตุที่เลือกรถจากค่ายญี่ปุ่นให้บริการในสายสีม่วงซึ่งแตกต่างจากรถไฟฟ้าใต้ดินในปัจจุบันที่ใช้รถเยอรมนี เพราะ รฟม.ต่อรองราคาเดินรถบริษัทต้องลดราคาสัญญาเดินรถลง รถจากญี่ปุ่นราคาจะถูกกว่าเกือบ 5% โดยเฉลี่ย 200 กว่าล้านบาทต่อขบวน (มี 3 ตู้) เพราะได้เปรียบเรื่องค่าเงินด้วย ส่วนคุณภาพและค่าบำรุงรักษาพอๆ กับรถของเยอรมนี แต่ยอมรับว่าค่าอะไหล่สำรองต่างๆ ต้องจัดหาอีก 1 ชุดต่างหาก เพราะใช้ร่วมกับสายสีน้ำเงินไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ก่อนเปิดให้บริการจะต้องทดสอบระบบให้มั่นใจในเรื่องความปลอดภัยสูงสุด เพราะการควบคุมระบบเดินรถไฟฟ้าจะมีอาณัติสัญญาณถึง 15,000 ระบบเข้ามาเกี่ยวข้อง” นายสมบัติกล่าว
นายสมบัติกล่าวถึงการเดินรถสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ ระยะทาง 27 กม.ว่า บริษัทฯ ได้เสนอให้ รฟม.เจรจาแทนการเปิดประมูลเดินรถ เพราะจะประหยัดกว่า ทำได้เร็วกว่า โดยจะทยอยเปิดไปพร้อมๆ กับงานโยธาที่แล้วเสร็จได้ ไม่ต้องรอให้การก่อสร้างเสร็จทั้งสาย และจะเดินรถต่อเนื่องกับสายเฉลิมรัชมงคลได้สะดวก โดยผู้โดยสารไม่ต้องลงมาต่อรถอีกขบวน และเห็นว่าการเปิดประมูลให้แข่งขันกันนั้นจะได้ราคาที่สูงกว่า และไม่มั่นใจว่าจะเจรจาได้ตามที่ รฟม.ต้องการหรือไม่ โดยบริษัทฯ พร้อมเจรจา และจะออกแบบให้การเดินรถเชื่อมต่อกันได้ แม้ว่าจะไม่ใช้รถจากเยอรมันเหมือนสายเฉลิมรัชมงคลก็ตาม
“บริษัทฯ มั่นใจว่า ถ้าให้บริษัทเดินรถสีน้ำเงินส่วนต่อขยายจะประหยัดและสามารถเดินรถเชื่อมต่อได้สะดวกและเปิดให้บริการได้เร็ว แต่ถ้าประมูลนอกจากช้าแล้วหากเป็นรายอื่นเข้ามาจะทำไม่ได้แน่นอน โดยบริษัทจะจัดหารถเพิ่ม 28 ขบวน ใช้เดปโป้และศูนย์ควบคุมการเดินรถร่วมกับสายเฉลิมรัชมงคล ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ จะต่อเติมบ้านควรใช้ผู้รับเหมารายเดิมเพราะจะรู้รายละเอียดของบ้านเดิมมากกว่าผู้รับเหมารายใหม่” นายสมบัติกล่าว
