ASTVผู้จัดการรายวัน - เผยไตรมาสแรกปี 57 ไทยยังคงเป็นฐานรายได้หลักด้วยสัดส่วน 62% คิดเป็นยอดขาย 10,630 ล้านบาท จากธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และจำหน่ายสินค้าแฟชั่น เตรียมขยายจำนวนร้านอาหารทั่วโลกเพิ่มขึ้น 8-10% จาก 1,592 สาขา และเพิ่มจำนวนโรงแรมอย่างน้อย 2 เท่าจากที่มีอยู่ 109 แห่ง หวังเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ 45% พร้อมกำหนดอัตราการเติบโตเฉลี่ย 17-18% ต่อปี
นายวิลเลียม อี ไฮเน็คกี้ ประธานบริหาร บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังคงมีทิศทางการขยายการลงทุนธุรกิจโรงแรม ธุรกิจร้านอาหาร และธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่น ทั้งในประเทศที่มีการดำเนินธุรกิจต่างๆ แล้ว 27 ประเทศ รวมทั้งยังคงเตรียมขยายตลาดใหม่ๆ เพิ่มขึ้นด้วย
สำหรับการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยภายหลังการยึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะนับตั้งแต่การยกเลิกคำสั่งเคอร์ฟิวส์ ทำให้บริษัทฯ เริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นและทบทวนแผนการขยายธุรกิจในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหารและธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่น
“ส่วนธุรกิจโรงแรมยังคงอยู่ในระหว่างการทบทวนว่าจะมีการขยายเพิ่มมากน้อยเพียงใด เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยยังคงอยู่ภายใต้การประกาศใช้กฎอัยการศึก ทำให้ยังคงมีบางประเทศมีคำเตือนและประกาศไปยังประชากรว่าห้ามเดินทางเข้าประเทศไทย จึงส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวยังคงมีไม่มากนัก แต่โดยส่วนตัวเชื่อว่าหากประเทศไทยยกเลิกการประกาศใช้กฎอัยการศึก ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยวไทยจะกลับมาคึกคักอีกอย่างแน่นอน” นายวิลเลียมกล่าวเสริม
ทางด้าน นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ รองประธานบริหาร ฝ่ายกลยุทธ์และวางแผน บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีการวางกลยุทธ์และวิเคราะห์แผนการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องในช่วงเดือนตุลาคมของทุกๆ ปีเพื่อกำหนดเป็นแผนการดำเนินงาน 5 ปีในทิศทางเดียวกันทั่วโลก โดยล่าสุดเป็นแผนการดำเนินงานประจำปี 2013-2014 (พ.ศ. 2556-2561) ซึ่งมีการตั้งเป้าหมายว่าจะขยายสาขาร้านอาหารเพิ่มขึ้นประมาณ 8-10% จากจำนวนที่มีอยู่ 1,592 สาขา และเพิ่มจำนวนโรงแรมอย่างน้อย 2 เท่าจากจำนวน 109 แห่ง พร้อมทั้งมีอัตราการเติบโตของรายได้เฉลี่ย 17-18% ต่อปี ตลอดจนเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเป็น 45% จากปัจจุบันที่มีประมาณ 38%
ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2557 บริษัทฯ มีรายได้จากธุรกิจโรงแรมเป็นสัดส่วนหลักคือ 51% รองลงมาคือธุรกิจร้านอาหาร 49% และธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่น 1% คิดเป็นอัตราการเติบโตประมาณ 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปี 2556 โดยในส่วนของประเทศไทยสามารถทำยอดขายได้ถึง 10,630 ล้านบาท คิดเป็นผลกำไร 1,420 ล้านบาท ทั้งยังถือเป็นสัดส่วนรายได้สูงถึง 62% ขณะที่มีรายได้จากประเทศอื่นๆ 38%
“สำหรับผลการดำเนินงานในประเทศไทยคิดเป็นอัตราการเติบโตเพียง 7% ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 10% แต่ก็ถือว่าเป็นผลการดำเนินงานที่น่าพอใจ เพราะประเทศไทยต้องประสบกับปัจจัยลบทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจมาตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2556 เราจึงต้องพยายามผลักดันกลยุทธ์ต่างๆ ในช่วงครึ่งปีหลังเพื่อให้มีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 2 หลักซึ่งคิดว่ามีโอกาสสูงที่จะเป็นไปได้ เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองที่เริ่มนิ่ง ทำให้ผู้บริโภคมีพฤติกรรมการใช้จ่ายที่สูงขึ้น ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มเพิ่มมากขึ้น ซึ่งล้วนแต่เป็นปัจจัยบวกที่จะช่วยเสริมให้ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นตามไปด้วย ส่วนสินค้าแฟชั่นแม้จะถือเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย แต่เมื่อเศรษฐกิจโดยรวมดีก็ย่อมมีอัตราการเติบโตด้วยเช่นกัน” นายชัยพัฒน์กล่าวในที่สุด
อนึ่ง บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจหลัก 3 ด้านคือ ธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจโรงแรม และธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่น โดยปัจจุบันมีร้านอาหารแบรนด์ต่างๆ อาทิ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, สเวนเซ่นส์, ซิซซ์เลอร์, แดรี่ ควีน, เบอร์เกอร์ คิง, ไทยเอ็กซ์เพรส, เดอะ คอฟฟี่ คลับ, ริบส์ แอนด์ รัมส์ และริเวอร์ไซด์
ขณะที่ธุรกิจโรงแรมมีทั้งดำเนินงานในรูปแบบเป็นเจ้าของเอง บริหารจัดการ และร่วมลงทุนภายใต้เครื่องหมายการค้าอนันตรา, อวานี, โอ๊คส์ เปอร์ อควัม, แมริออท, โฟร์ซีซั่นส์, เซ็นต์ รีจิส, เอเลวาน่า และโรงแรมในกลุ่มไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล
ส่วนธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่น ปัจจุบันมีแบรนด์ต่างๆ ได้แก่ แก๊ป, เอสปรี, บอสสินี่, ชาร์ล แอนด์ คีธ, เพโดร, เรดเอิร์ธ, ทูมี่, สวิลลิ่ง, เอ.เอ. เฮ็งเคิลส์, อีทีแอล, เลิร์นนิ่ง และมายเซลล์