“เซนเรสเตอร์รอง กรุ๊ป” วางหมากรับมือเทรนด์อาหารญี่ปุ่นแข่งดุ

“เซน” เผยธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยมูลค่าตลาดรวมทะลุ 2 หมื่นล้านบาท ไม่หวั่นกลุ่มทุนรายใหม่แห่นำเข้าแบรนด์ต่างประเทศมากขึ้น ตั้งเป้าปี 57 โตต่อเนื่อง 18% แบ่งแชร์ 2 พันล้านบาท เตรียมต่อยอดแบรนด์ใหม่ เล็งทำเลกลางใจเมืองเดินหน้าขยายสาขา พร้อมเพิ่มฐานใหม่ในสิงคโปร์ และฮ่องกง หวังแต่งตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ

ดร.วัลลภัช แก้วอำไพ ผู้อำนวยการบริหาร กลุ่มบริหารกลยุทธ์องค์กร บริษัท เซ็นเรสเตอร์รอง กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยมีมูลค่าทางการตลาดประมาณ 2 หมื่นล้านบาท มีแนวโน้มเติบโตร้อยละ 20 ต่อปี ขณะที่ในปี 2556 บริษัทมีรายได้รวมทั้งหมดกว่า 1.8 พันล้านบาท มีอัตราการเติบโตขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 15 ส่วนในปี 2557 บริษัทมีการวางแผนและกลยุทธ์สำคัญเพื่อรองรับการขยายธุรกิจให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นเพื่อเตรียมรองรับการนำธุรกิจเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมกับการขยายฐานแบรนด์ธุรกิจร้านอาหารในกลุ่มไปยังต่างประเทศ ดังนั้นบริษัทจึงให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนาการบริการ กระบวนการผลิต เมนูอาหาร และคุณภาพของสินค้าให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยตั้งเป้าเบื้องต้นไว้ว่าในปี 2558 จะสามารถสร้างรายได้ประมาณ 2 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 18

ในปี 2557 คาดว่าจะมีธุรกิจร้านอาหารแบรนด์ใหม่ๆ จากต่างประเทศมาเปิดให้บริการมากขึ้น เนื่องจากธุรกิจร้านอาหารมีความน่าสนใจมากกว่าธุรกิจอื่นๆ โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่อาจซบเซาเพราะสภาพเศรษฐกิจ โดยกลุ่มทุนดังกล่าวแม้จะมีความพร้อมด้านเงินลงทุนแต่อาจจะขาดประสบการณ์ จึงใช้กลยุทธ์การซื้อแบรนด์จากต่างประเทศมาทำตลาดแทน ประกอบกับการเข้ามาลงทุนของกลุ่มเชนจากต่างประเทศเอง เพราะเห็นศักยภาพของผู้บริโภคไทยที่จะมีผลให้อุตสาหกรรมอาหารมีการแข่งขันสูงขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น แต่เชื่อว่าในระยะยาวแล้วผู้ประกอบการที่มีประสบการณ์และเป็นแบรนด์ใหญ่จริงๆ จะสามารถแข่งขันกับภาวะการแข่งขันที่สูงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่ารายเล็กๆ

บริษัทแบ่งกลุ่มธุรกิจร้านอาหารออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ร้านอาหารญี่ปุ่นประเภทออเทนติกเจแปนนิส ภายใต้แบรนด์ร้านอาหารญี่ปุ่น “เซน เรสเตอร์รอง” (ZEN Restaurant) ซึ่งเปิดมา 22 ปี มีทั้งหมด 27 สาขา และแบรนด์ “เซน คูซิน่า” (Zen Cucina) สาขาศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กลุ่มที่ 2 เป็นธุรกิจร้านอาหารประเภทปิ้งย่าง ประกอบด้วย แบรนด์ “อากะ” (AKA) เปิดมา 7 ปีมีทั้งหมด 14 สาขา และแบรนด์ “กิว กริล” (Gyu Grill) จำนวน 2 สาขา กลุ่มที่ 3 เป็นธุรกิจร้านอาหารไลฟ์สไตล์ ได้แก่ แบรนด์ “ออน เดอะ เทเบิล” (On the table) จำนวน 6 สาขา และร้านเค้กสไตล์ญี่ปุ่น แบรนด์ “โมริ” (MORI) 1 สาขา

สำหรับแผนการขยายสาขาธุรกิจร้านอาหารของบริษัทในปี 2557 ตั้งเป้าจะเปิด 4-5 สาขาต่อแบรนด์ ได้แก่ “เซน เรสเตอร์รอง”, “อากะ” และ “ออน เดอะ เทเบิล” ส่วนแบรนด์อื่นๆ จะขยายประมาณ 1-2 สาขา โดยจะเน้นเรื่องทำเลที่ตั้งเป็นสำคัญ ส่วนแบรนด์ร้านอาหารใหม่จะมีการเปิดขึ้นอีก 1 แบรนด์ เป็นร้านสไตล์ปิ้งย่างที่จับกลุ่มลูกค้าระดับบนภายใต้ชื่อ “เท็ตสึ” (TETSU) นอกจากนี้ยังได้มีการต่อยอดแบรนด์เซน เรสเตอร์รองออกมาเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น “เซน ซูชิ แอนด์ สาเก” ซึ่งจะมีรูปแบบใหม่ที่รองรับไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าที่ใช้เวลากับการรับประทานอาหารในช่วงค่ำได้มากยิ่งขึ้น รวมถึงขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูลรายละเอียดต่างๆ ที่จะเปิดสาขาในประเทศสิงคโปร์และฮ่องกงด้วย

“จุดเด่นในการทำธุรกิจของเราจะยึดที่คุณภาพเป็นหลัก อาหารที่นำเสนอลูกค้าจะเน้นความเป็นญี่ปุ่นแท้ๆ และเน้นคุณภาพของวัตถุดิบที่ใช้ เห็นได้ชัดจากความสดของวัตถุดิบ ในขณะที่ราคาก็ไม่สูงเมื่อเทียบกับแบรนด์ที่ใกล้เคียงกัน ในขณะที่เราเพิ่มเติมเรื่องการบริการ การดูแลเอาใจใส่ของพนักงาน ทำให้เราอยู่ในใจผู้บริโภคมาโดยตลอดแม้จะไม่ได้ทำการตลาด หรือการประชาสัมพันธ์มากนักก็ตาม”

ส่วนร้านอาหารกลุ่มปิ้งย่างถือเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูงและมีคู่แข่งจำนวนมาก เราจึงทำให้ร้าน “อากะ” เป็นร้านที่เน้นเรื่องของคุณภาพอาหารเป็นหลัก และเปลี่ยนสไตล์การตกแต่งร้านจากสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิมมาเป็นสไตล์นิวยอร์ก ลอฟต์ รวมทั้งได้ปรับเปลี่ยนเมนู เปลี่ยนชุดพนักงานบริการ จึงทำให้ร้านดูแตกต่างจากคู่แข่ง

“ขณะที่ร้านอาหารกลุ่มเจแปนนิสคาเฟ่คือร้านออน เดอะเทเบิล ซึ่งเปิดให้บริการมา 4 ปี รองรับกลุ่มลูกค้าที่คุ้นชินกับอาหารญี่ปุ่นมานานแล้ว แต่กำลังมองหาอาหารญี่ปุ่นในรูปแบบอื่นด้วย โดยเน้นที่จะเปิดร้านในทำเลใจกลางเมือง หรือ CBD เป็นหลัก มีเมนูในสไตล์โตเกียวคาเฟ่ผสมญี่ปุ่นและอิตาเลียน เน้นการสั่งง่าย กินง่าย ไม่ต้องหรูหรามาก ส่วนร้านโมริ เปิดมาแล้ว 2 ปี เป็นร้านเค้กที่มีความพิเศษตรงที่กินแล้วเบา สบายท้อง แคลอรีต่ำ” ดร.วัลลภัชกล่าว