ตลาดกระดาษชำระกลุ่มบีทูบีตัดราคาเดือด 30% แย่งงาน หลังเจอมรสุมเศรษฐกิจ-การเมืองถล่ม “คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค” ปรับกลยุทธ์รุกตลาดกลุ่มโปรเฟสชันนัล หรือบีทูบี หลังเจอปัญหาการเมืองเศรษฐกิจถล่ม ไตรมาสแรกโตต่ำเป้า ชู 3 แนวทางขยาย “ตลาดภูธร-เซกเมนต์ใหม่-ลุยซีแอลเอ็มวี” หวังโต 20%
นายกรัณย์ แสงไฟ ผู้อำนวยการและผู้จัดการทั่วไป กลุ่มสินค้าเพื่อธุรกิจ คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค โปรเฟสชันแนล ประจำประเทศไทย ภูมิภาคอินโดจีนและพม่า หรือซีแอลเอ็มวี เปิดเผยว่า ตลาดกระดาษทิชูชูและสุขอนามัยครบวงจรในไทยในตลาดของบีทูบีหรือธุรกิจ ปัจจุบันมีการแข่งขันที่สูง โดยเฉพาะในแง่ของการแข่งขันประมูลเพื่อรับงานขององค์กรหรือสถาบันต่างๆ ในภาคธุรกิจเพื่อให้ได้งานมา โดยมีการตัดราคากันลงมากถึง 20-30% เพราะตลาดรวมในขณะนี้ตกลงเช่นกัน เนื่องจากปัญหาทางด้านการเมืองที่วุ่นวายและภาคเศรษฐกิจที่ไม่ดี โดยเฉพาะในส่วนของตลาดกรุงเทพฯ ที่มีสัดส่วนมากกว่า 50% เช่นกลุ่มโรงแรมที่นักท่องเที่ยวลดลงจากอัตราการเข้าพัก 90% เหลือ 10-20% เท่านั้นโดยเฉพาะโรงแรมในเมือง นอกจากนั้นอัตราการใช้กระดาษของกลุ่มลูกค้าบางกลุ่มก็ลดลงด้วยส่งผลให้ความต้องการใช้ลดลง ความถี่ในการเปิดประมูลก็น้อยลงด้วย โดยตลาดใหญ่คือกลุ่มโรงงาน โรงแรม
สำหรับตลาดรวมกระดาษชำระในกลุ่มบีทูบีมีประมาณ 4,000 ล้านบาท ตลาดรวมโต 5% เท่านั้น โดยบริษัทฯ ยังคงมีส่วนแบ่งเป็นผู้นำตลาดด้วยแชร์ 45% อันดับที่สองคือ เบอร์ลี่ยุคเกอร์ ประมาณ 25% ที่เหลือเป็นรายย่อยอีก 3-4 ราย
ในส่วนของบริษัทฯ ธุรกิจกลุ่มอุตสาหกรรมหรือบีทูบีนี้ก็ได้รับผลกระทบเช่นกันจากปัญหาภาพรวม โดยไตรมาสแรกเติบโต 15% ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 20% ซึ่งจากนี้ได้ปรับแผนกลยุทธ์การดำเนินงานใหม่ เนื่องจากว่าแผนเดิมกำหนดมาตั้งแต่ช่วงตุลาคมปีที่แล้วซึ่งสถานการณ์ยังปกติอยู่ แต่ยังคงเป้าหมายเติบโตทั้งปี 20% เช่นเดิม โดยชู 3 แนวทางหลักคือ 1.การขยายตลาดในเชิงภูมิศาสตร์ คือ การขยายในตลาดที่มีผลกระทบน้อยโดยเฉพาะตลาดอีสานที่หลายจังหวัดเติบโตมากขึ้น เช่น ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี 2.การขยายตลาดเซกเมนต์ใหม่ๆ หรือเพิ่มมากขึ้น เช่น กลุ่มเฮลท์แคร์ โรงพยาบาล จากเดิมที่ตลาดหลักอยู่ที่โรงแรมมากกว่า 25% โรงงานมากกว่า 25% เป็นต้น โดยบริษัทมีเอเยนต์กว่า 60 ราย และมีองค์กรรวมกว่า 3,000 แห่ง โดยปีนี้จะเพิ่มอีก 20% และออกสินค้าใหม่ๆ
3.การขยายตลาดต่างประเทศในกลุ่ม CLMV คือ กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม มากขึ้น โดยปีนี้งบลงทุนต่างประเทศอยู่ที่ 30 ล้านบาท โดยไตรมาสแรกนี้ตั้งเอเยนต์ที่เวียดนาม 3 เมืองคือ ฮานอย ดานัง โฮจิมินห์ ซึ่งที่ผ่านมายังไม่เคยมีเอเยนต์ในเวียดนามเลย ส่วนที่กัมพูชามีอยู่แล้วที่พนมเปญจะทำตลาดเข้มข้นขึ้นและขยายตลาดไปที่พนมเปญด้วย ส่วนที่ลาวจะขยายจากเวียงจันทน์ไปหลวงพระบาง วังเวียง ซึ่งเราบริหารเอง และที่พม่าจะตั้งเอเยนต์ใหม่เพราะว่าเพิ่งเปิดประเทศ มีการสร้างโรงแรม โรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมาก เป็นตลาดใหญ่น่าสนใจ วางเป้าหมายภายใน 5 ปีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ 30%
อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมประเทศไทยยังมีโอกาสในการเติบโตอีกมากสำหรับธุรกิจกระดาษชำระ เพราะอัตราการใช้ยังต่ำอยู่มากไม่เกิน 1.2 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ขณะที่ยุโรปการใช้ 4 กิโลกรัมต่อคนต่อปี และอเมริกาอยู่ที่ 6 กิโลกรัมต่อคนต่อปี