“แมกกาซีน ฟอร์ เมน” บูมสุดขีด ช่วง 8 เดือนผุดใหม่ 10 เล่ม สวนกระแสไตรมาสหนึ่งสื่อโฆษณานิตยสารร่วง 15-20% “อินสไพร์” สำลักโฆษณาหด 15-20% เช่นกัน แต่พร้อมเดินเกมลุยตามแผนเดิมหลังไตรมาสสองเป็นต้นไป ทุ่ม 500 กว่าล้านบาทอัดอีเวนต์ 40 งาน ผุดนิตยสารใหม่ 1 หัว สร้างโอกาสจากดิจิตอลทีวีผลิตคอนเทนต์ป้อน 4 ช่อง เพิ่มอี-แมกกาซีนอีก 2 เล่ม หวังสิ้นปีรายได้โต 15% หลังปรับเป้ารายได้โตจาก 20% ลงมา
นายก้องเกียรติ เหวียนระวี กรรมการบริหาร บริษัท อินสไพร์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ในกลุ่มบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้ถือเป็นปีที่มีการเปิดตัวนิตยสารมากสุดในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมาจากปกติต่อปีจะมีนิตยสารออกใหม่ 3-4 เล่ม โดยพบว่าช่วง 8 เดือนที่ผ่านมามีการเปิดตัวนิตยสารใหม่ไม่ต่ำกว่า 10-13 เล่ม ส่วนใหญ่เป็นนิตยสารเฉพาะกลุ่ม เช่น บิ๊กไบค์ จักรยาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนิตยสารสำหรับผู้ชาย ส่วนหนึ่งมาจากนิตยสารสำหรับผู้ชายมีน้อยอยู่แล้วและมีไลฟ์สไตล์เฉพาะ ส่วนนิตยสารที่ปิดตัวไปนั้นอยู่ในอัตราเดิมและเป็นเล่มที่ออกไม่สม่ำเสมอ
ทิศทางการเปิดตัวนิตยสารใหม่ที่สูงนี้ถือเป็นการเติบโตที่สวนกระแสกับเม็ดเงินโฆษณาในสื่อนิตยสารที่พบว่าไตรมาสแรกสื่อโฆษณาลดลง 15-20% จากปัญหาการเมืองเป็นหลัก ลูกค้าอั้นใช้เงินโฆษณา ขณะที่พฤติกรรมการซื้อสื่อโฆษณาจะวางแผนการซื้อแบบระยะสั้นเดือนต่อเดือนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าไดเรกต์และขนาดย่อม ส่วนที่ซื้อแบบระยะยาวปีต่อปียังคงที่ โดยกลุ่มสินค้าที่ยังใช้งบโฆษณาปกติอยู่คือสินค้าที่เกี่ยวกับบ้าน ตกแต่งบ้าน ส่วนสินค้าที่ชะลอการใช้เงิน มีทั้งคอนซูเมอร์โปรดักต์และทั่วไป
ทั้งนี้ มองว่าหลังไตรมาสสองเป็นต้นไปลูกค้าจะเริ่มกลับมาลงโฆษณามากขึ้น จากสถานการณ์การเมืองที่เริ่มดีขึ้น บวกกับเป็นช่วงหน้าขายสินค้า ต้องทำตลาด หลังจากที่อั้นมาตลอด 3 เดือนเพื่อสร้างยอดขายให้เป็นไปตามเป้า
สำหรับอินสไพร์ฯ พบว่ารายได้จากโฆษณาในไตรมาสหนึ่งลดลง 15-20% ตามสภาพตลาดเช่นกัน แต่เนื่องจากได้มีการบริหารต้นทุน ลดค่าใช้จ่าย ในขั้นตอนการผลิตนิตยสารมาตั้งแต่ช่วงเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา หลังพบเหตุการณ์ทางการเมืองที่เริ่มรุนแรง บวกกับช่วงไตรมาสหนึ่งที่ผ่านมาบริษัทไม่มีการจัดกิจกรรมใหญ่เพราะเป็นช่วงโลว์ซีซัน ทำให้ภาพรวมรายได้ไตรมาสหนึ่งยังดีอยู่
ทั้งนี้ บริษัทจะรุกทำตลาดตามแผนธุรกิจที่วางไว้ตั้งแต่ไตรมาสสองเป็นต้นไป โดยปีนี้ยังพร้อมใช้งบลงทุน 500 กว่าล้านบาทเท่าปีก่อน ในการจัดอีเวนต์ทั้งปีกว่า 40 งาน และปีนี้ใช้เพิ่มจากปีก่อน 100 ล้านบาท เนื่องจาก 1.มีการลงทุน 20-30 ล้านบาท เปิดตัวนิตยสารหัวนอกใหม่ 1 เล่ม ชื่อ Interni เป็นนิตยสารประเภทดีไซน์ต่อยอดจากนิตยสาร Casaviva 2.จัดงานเอ็กซิบิชันใหญ่เพิ่มหนึ่งงานด้วยงบ 80 ล้านบาทคืองาน ไทยแลนด์ แฟชั่น แอนด์ บิวตี้ แฟร์ 2014 ขึ้นที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 3-6 พ.ค.ศกนี้ โดยการรวมสินค้าคุณภาพแบรนด์ชั้นนำที่ครอบคลุมลูกค้าผู้หญิง ทั้งแฟชั่น บิวตี้ ไลฟ์สไตล์ สุขภาพที่อินเทรนด์ รวมกว่า 300 บูท คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 200,000 คน และมีเงินสะพัดภายในงาน 100 ล้านบาท
“งบลงทุนรวมปีนี้ใช้มากกว่าปีก่อน 100 ล้านบาท เนื่องจากมีการจัดงานเอ็กซิบิชันขึ้นมาใหม่ 1 งานคือ ไทยแลนด์ แฟชั่น แอนด์ บิวตี้ แฟร์ จากปกติจะมีเอ็กซิบิชันใหญ่เพียง 1 งานคือ ออโตซาลอน ที่ต้องลงทุนกว่า 300 ล้านบาทในการจัดขึ้นแต่ละครั้ง และการเปิดตัวนิตยสารเพิ่ม 1 หัวคือ Interni เป็นการเปิดนิตยสารใหม่น้อยสุด จากปกติต่อปีจะมีหัวใหม่ 2-3 เล่ม ซึ่งเดิมปีนี้เตรียมเปิดใหม่ 2 เล่ม แต่เวลานี้สรุปที่ 1 เล่มก่อนโดยขอดูสถานการณ์ครึ่งปีหลัง หากดีขึ้นอาจจะเปิดเพิ่มอีกเล่มเป็นนิตยสารด้านบิวตี้”
นายก้องเกียรติ กล่าวต่อว่า จากการเกิดดิจิตอลทีวี บริษัทยังมุ่งผลิตคอนเทนต์ป้อนให้ช่องดิจิตอลทีวีด้วย โดยทำร่วมกับกลุ่มสยามสปอร์ต ซึ่งขณะนี้มีติดต่อเข้ามาอย่างน้อย 5 ช่อง เช่น ทีวีพูล, เนชั่น, ช่อง 7 และช่อง 9 เป็นต้น ซึ่งคอนเทนต์ส่วนใหญ่จะเป็นเอนเตอร์เทนเมนต์คอนเทนต์สำหรับผู้ชายและข่าวกีฬา
จากปัจจุบันบริษัทมีการต่อยอดคอนเทนต์จากนิตยสารในกลุ่มสู่รายการโทรทัศน์อยู่แล้ว 3 รายการคือ 1.เซ็กซี่ โฟโต้ ชอต ทางช่องสยามสปอร์ต 2.คาร์แมน ไรเดอร์ ทางช่องสยามสปอร์ต และ 3.ออปชันทีวี ทางช่องสยามสปอร์ตเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้บริษัทยังให้ความสำคัญต่อรายได้ในช่องดิจิตอลเพิ่มขึ้นด้วย หลังปีก่อนมีการเติบโตขึ้น 40-60% โดยปีนี้จะเพิ่มอี-แมกกาซีนอีก 2 เล่ม เกี่ยวกับรถ และบิวตี้ จากเดิมมี อี-แมกกาซีนอยู่แล้ว 7 เล่ม เช่น FHM, ZOO, Casaviva, Grazia เป็นต้น ในราคาที่ต่ำกว่าฉบับปกติ 20%
อนาคตต้องการทำเป็นอี-แมกกาซีให้ครบทุกเล่ม จากปัจจุบันอินสไพร์มีนิตยสารอยู่ทั้งหมด 15 เล่ม คือ FHM, ZOO, Stuff, Car, Popteen, S Cawaii!, Ray, ViVi, Best Car, Option, Genroq, CeCi, Casaviva, GraZia, Thai Drive และหนังสือพิมพ์สยามบันเทิง จากแผนงานที่วางไว้เชื่อว่าถึงสิ้นปีบริษัทน่าจะยังมีการเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% เป็นการปรับเป้าการเติบโตของรายได้ลงมาจากเดิมที่วางไว้ 20% หลังไตรมาสหนึ่งไม่ค่อยดี โดยภาพรวมรายได้จะมาจาก 3 ช่องทางหลัก คือ 1.โฆษณา 60% 2.อีเวนต์ 30% และ 3.ดิจิตอลมีเดีย ไม่ถึง 10% ซึ่งในส่วนของดิจิตอลนั้น มองว่าปีนี้น่าจะทำได้ถึง 10% และใน 2-3 ปีน่าจะเพิ่มเป็น 15% ได้