เอ็กโก กรุ๊ป เร่งเจรจาซื้อกิจการโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ 3-4 โครงการ หวังทดแทนรายได้ที่หายไปจากโรงไฟฟ้าระยองที่จะสิ้นสุดสัญญาซื้อขายไฟ ธ.ค. 57 หลัง กฟผ.ยังไม่ตอบรับการต่ออายุโรงไฟฟ้าดังกล่าว และรักษาอัตรา ROE ไม่น้อยกว่า 10%
นายสหัส ประทักษ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือเอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้มีการเจรจาซื้อกิจการโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการอยู่แล้วทั้งในและต่างประเทศ 3-4 โครงการ เพื่อเพิ่มรายได้เข้ามาทดแทนรายได้จากโรงไฟฟ้าระยองที่จะสิ้นสุดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในวันที่ 6 ธ.ค. 2557 นี้ หากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ไม่ต่อสัญญารับซื้อไฟฟ้าอีก 5 ปีตามที่บริษัทฯ เสนอไปก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมาบริษัทรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าระยอง 517 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ ต้องการมุ่งรักษาอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ให้ไม่ต่ำกว่า 10% ใน 5 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันบริษัทฯ มี ROE อยู่ที่ 10.36% อย่างไรก็ตาม หากบริษัทฯ ไม่มีการซื้อโรงไฟฟ้าใหม่ที่ดำเนินการแล้ว และไม่ได้รับต่ออายุโรงไฟฟ้าระยอง คาดว่า ROE ในปี 2558 จะลดลงต่ำกว่าระดับ 10% ซึ่งอดีตบริษัทฯ เคยมี ROE สูงถึง 20% ในปี 2550 เพราะเพิ่งลงทุนโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี
“บริษัทฯ สนใจซื้อกิจการโรงไฟฟ้า SPP ที่ใช้ก๊าซฯ ในไทย ส่วนโรงไฟฟ้าในต่างประเทศนั้นสนใจทั้งโรงไฟฟ้าไอพีพีและพลังงานทดแทน”
ก่อนหน้านี้ บริษัทฯ ได้เสนอ กฟผ.ขอต่ออายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้าออกไปอีก 5 ปี เนื่องจากโรงไฟฟ้าระยองได้รับการบำรุงรักษาอย่างดีและมีอายุใช้งาน 20 ปีเท่านั้น ซึ่งค่าไฟที่เสนอไปนั้นไม่สูง และ กฟผ.สามารถใช้โรงไฟฟ้าระยองเป็นแบ็กสตาร์ทได้ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับการแจ้งจาก กฟผ. โดยบริษัทหวังว่าจะรู้ผลได้ในครึ่งแรกของปีนี้
นายสหัสกล่าวต่อไปว่า งบลงทุนในปีนี้บริษัทกำหนดไว้ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งใช้ลงทุนโครงการต่อเนื่องที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างทั้ง 4 โครงการ เช่น โรงไฟฟ้าขนอมหน่วย 4 โรงไฟฟ้าพลังลมชัยภูมิ วินด์ฟาร์ม โครงการโรงไฟฟ้าพลังลมโบโค ร็อคฯ ที่ออสเตรเลีย และโครงการไชยะบุรี ที่ สปป.ลาว รวมทั้งโครงการต่อขยายโรงไฟฟ้าเควซอน ที่ฟิลิปปินส์ด้วย ยังไม่มีรวมงบสำหรับซื้อกิจการโรงไฟฟ้าในอนาคต
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังศึกษาการลงทุนโรงไฟฟ้าปากเหมือง กำลังผลิต 100-200 เมกะวัตต์ที่อินโดนีเซีย คาดว่าผลการศึกษามีความชัดเจนในกลางปีนี้ หากพบว่าโครงการมีความเหมาะสมก็ต้องหาผู้ซื้อไฟก่อนที่จะดำเนินการก่อสร้าง
สำหรับแนวโน้มกำไรบริษัทฯ ในปีนี้จะใกล้เคียงปีก่อน 7.6 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ รับรู้รายได้เต็มปีจากโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์บึงสามพันที่จังหวัดเพชรบูรณ์ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ส่วนขยายที่ลพบุรี โรงไฟฟ้าพลังลมเทพนที่ชัยภูมิ และโรงไฟฟ้าโซลาร์โก ที่สุพรรณ และนครปฐม
ส่วนความต้องการใช้ไฟฟ้าในช่วง 2 เดือนแรกปีนี้ที่ลดลงไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัท เนื่องจากมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าอยู่แล้ว ส่วนความขัดแย้งทางการเมืองในไทยนั้น จะส่งผลกระทบระยะยาว เนื่องจากไม่สามารถออกแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (PDP)ใหม่ได้ รวมทั้งโครงการลงทุนทวายที่เมียนมาร์ต้องล่าช้าออกไป เพราะโครงการดังกล่าวกลายเป็นโครงการจีทูจี ซึ่งรัฐบาลรักษาการทำให้ไม่สามารถตัดสินใจดำเนินการใดๆ ได้