7 องค์กรภาคเอกชนประกาศยุติบทบาทเป็นตัวกลางประสานปฏิรูปประเทศหลังถูก 2 ฝ่ายเมิน ชี้การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินกระทบความเชื่อมั่นต่างชาติ ทำภาคการท่องเที่ยวชะลอตัว ต่อไปกระทบเรื่องลงทุน เผยภาคบริการเริ่มปลดคนงานแล้ว ยันปีนี้เศรษฐกิจโตแค่ 3-4%
นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ 7 องค์กรภาคเอกชนได้ขอยุติบทบาทการเป็นตัวกลางในการประสานทุกภาคส่วนเพื่อปฏิรูปประเทศ เนื่องจากไม่ได้รับการตอบรับข้อเสนอจากทั้ง 2 ฝ่าย แต่การยุติบทบาทจะเป็นแค่ชั่วคราวเท่านั้น และภาคเอกชนจะเอาเวลาไปช่วยเหลือภาคธุรกิจที่กำลังได้รับผลกระทบโดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (SMEs) ทั้งในเรื่องความสามารถทางการแข่งขัน สภาพคล่อง และการขยายตลาด
ส่วนการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินของรัฐบาล ยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ในสายตานักลงทุนต่างชาติ ซึ่งผลกระทบจะเห็นชัดในภาคการท่องเที่ยวก่อน และระยะยาวจะทำให้การลงทุนชะลอตัวตามมา
ทั้งนี้ ปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นทำให้ภาคธุรกิจในกรุงเทพฯ ได้รับผลกระทบเสียหายวันละ 500-700 ล้านบาท โดยเฉพาะในส่วนภาคบริการได้เริ่มมีการปลดคนงานแล้ว ในต่างจังหวัด ภาคการท่องเที่ยวลดลงแล้วประมาณ 30% ขณะที่การจับจ่ายของประชาชนก็ลดลงจากราคาสินค้าเกษตรที่ลดลง และยังมีปัญหาเกษตรกรไม่ได้รับเงินจากโครงการจำนำข้าว ทำให้มีการจับจ่ายใช้สอยลดลง
โดยหอการค้าไทยประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ 3-4% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 4-5% เนื่องจากผลกระทบทางการเมือง โดยแรงขับเคลื่อนมาจากการส่งออกในปีนี้ที่ดีขึ้นจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง และจากเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้น โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ 3-4% รวมถึงการค้าชายแดนยังขยายตัวได้ดี แต่ทั้งนี้จะมีการประเมินผลกระทบจากปัญหาการเมืองต่อเศรษฐกิจไทยอีกครั้ง