เอกชนส่งสัญญาณเศรษฐกิจชะลอตัว คาดไตรมาส 4 โตแค่ 1% ห่วงการเมืองป่วนยิ่งฉุดเศรษฐกิจ เหตุแยกกันไม่ออก วอนอยากให้จบโดยเร็ว
นายวิชัย อัศรัสกร รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ภาคเอกชนมองว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้ามีความน่าเป็นห่วงมาก เพราะเริ่มมีการส่งสัญญาณที่ชัดเจนแล้วถึงภาวะการบริโภคภายในประเทศที่ชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนก็มีอัตราการขยายตัวที่ลดลง โดยคาดว่าเศรษฐกิจในไตรมาส 4 จะขยายตัวได้แค่ 1%
“ภาคธุรกิจรู้สึกแล้วว่าการบริโภคชะลอตัวลงไปมากกว่าที่คาดไว้ และเป็นห่วงว่าจะชะลอตัวเรื่อยๆ เพราะลำพังภาวะเศรษฐกิจที่ไม่มีปัจจัยเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวก็ไม่ดีอยู่แล้ว เพราะการเมืองกับเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่แยกกันไม่ออก ภาคเอกชนก็หวังว่าสถานการณ์จะคลี่คลายด้วยดี หากจบไม่ดี เศรษฐกิจที่เปราะบางอยู่แล้วย่อมได้รับผลกระทบแน่นอน” นายวิชัยกล่าว
ทั้งนี้ ภาคเอกชนเองอยากให้ปัญหาการเมืองจบโดยเร็ว อยากให้มีกระบวนการพูดคุยกันด้วยเหตุผล มีผู้ใหญ่ที่เป็นคนกลางดึงวาระต่างๆ ที่แต่ละฝ่ายต้องการขึ้นมาวางกันบนโต๊ะ แล้วพูดคุยกันด้วยเหตุผลที่จะนำไปสู่ประโยชน์ส่วนรวม เพราะการเผชิญหน้ากันไม่ทำให้จบ มีแต่จะยิ่งรุนแรงขึ้น
สำหรับโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2.2 ล้านล้านบาท ภาคเอกชนเห็นด้วย แต่สิ่งที่ต้องติดตามคือความไม่รอบคอบของนโยบาย ความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง เพราะยิ่งเป็นโครงการที่ใช้เม็ดเงินจำนวนมากยิ่งต้องมีความโปร่งใสในการดำเนินการ โดยต้องเปิดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น และควรมีการถ่วงดุลอำนาจกัน เพราะคนจัดซื้อจัดจ้างไม่ควรเป็นคนเดียวกันกับคนถือเงิน
นายธนวรรธน์ พลวิชัย รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ตอนนี้การบริโภคภายในประเทศน่าเป็นห่วง เพราะจากเดิมที่คาดว่าโครงการรับจำนำข้าวจะเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่ล่าสุดธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ก็ชะลอการจ่ายเงินเกษตรกร ทำให้ไม่เหลือแรงกระตุ้นในประเทศ ประกอบกับราคาพืชผลทางการเกษตรลดต่ำลง ก็ยิ่งทำให้ไม่มีแรงขับเคลื่อน
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาการเมืองที่ทำให้ภาวะเศรษฐกิจถดถอยลง จึงอยากให้ทุกฝ่ายยืนอยู่บนพื้นฐานประชาธิปไตย แต่ถ้าให้ดีต้องถอยคนละก้าว โดยปล่อยให้รัฐบาลทำงานไป ส่วนฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็ชุมนุมอยู่ในความสงบ หรืออีกทางคือ รัฐบาลยอมยุบสภา แล้วเปิดทางมีการตั้งรัฐบาลแห่งชาติขึ้นมาทำงาน แต่ทั้งนี้จะต้องเห็นชอบด้วยกันทั้งสองฝ่าย