ASTVผู้จัดการรายวัน - เจ้าสัวธนินท์แนะแก้ปัญหาการขาดทุนจากการจำนำข้าว โดยเสนอรัฐจ้างเกษตรกรอย่าปลูกข้าวโดยเฉพาะพื้นที่ให้ผลผลิตต่ำให้ได้ 30% แล้วให้เกษตรกรหันไปปลูกปาล์ม หรือมะพร้าวที่ให้กำไรดีกว่าแทน อีกทั้งนำข้าวเก่าในสต๊อกมาขายให้จีนเพื่อทำเอทานอลแทนการระบายออกสู่ตลาด
นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ และกรรมการผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เปิดเผยถึงการแก้ปัญหาการขาดทุนมหาศาลจากนโยบายรับจำนำข้าวของรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า รัฐบาลต้องลดพื้นที่การเพาะปลูกข้าวลง 30% โดยจ้างเกษตรกรในพื้นที่ที่มีการเพาะปลูกได้ผลผลิตต่ำให้เลิกปลูกข้าว แล้วไปปลูกพืชชนิดอื่นที่มีกำไรดีกว่าแทน เช่น ปาล์ม หรือมะพร้าว โดยรัฐจ่ายเงินส่วนต่างที่เคยได้กำไรจากการปลูกข้าวประมาณ 1,500 บาท/ไร่ ให้แก่เกษตรกรเหล่านี้
ขณะเดียวกันก็นำข้าวเก็บเก่าในโกดัง เช่น ปลายข้าว ข้าวหัก ขายให้แก่จีนเพื่อใช้ทำเอทานอลแทน โดยไม่ให้นำเข้าข้าวเก็บเก่านี้นำออกมาขายสู่ตลาดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาล้นตลาดเหมือนในปัจจุบัน โดยรัฐอาจใช้วิธีแลกข้าวกับรถไฟของจีนก็ได้ ซึ่งในอดีตสหรัฐฯ แก้ปัญหาสินค้าเกษตรล้นตลาด และราคาตกต่ำจะนำไปทิ้งทะเล
“อย่าไปพูดว่าไทยจะเป็นที่ 1 ของโลก เพราะที่ 1 จริงๆ คือ จีน รองลงมาคือ อินเดีย พม่า และไทย โดยสมัยก่อนพม่าเป็นประเทศที่ส่งออกข้าวมากที่สุด เราเป็นที่ 2 ก็ได้แต่ขอให้เกษตรกรไทยรวยขึ้นดีกว่า สำหรับเกษตรกรที่เลิกปลูกข้าวแล้วปลูกปาล์ม หรือมะพร้าว และเลี้ยงปลาด้วย ซึ่งให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการปลูกข้าว โดยซีพีมีการทำทดลองอยู่แล้วที่กำแพงเพชร”
นายธนินท์กล่าวย้ำว่า แนวทางดังกล่าวนอกจากจะช่วยลดปัญหาการขาดทุนจากนโยบายรับจำนำราคาข้าวยังทำให้มีกำไร ซึ่งในอนาคตรัฐบาลไม่จำเป็นต้องมีนโยบายรับจำนำข้าวอีก ส่วนการทำข้อตกลงขายข้าวจีทูจีให้รัฐบาลไทย กับรัฐบาลจีนเมื่อเร็วๆ นี้ มั่นใจว่าจีนจะซื้อข้าวไทยอย่างแน่นอนเมื่อไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวเป็นอันดับ 2 ของโลก หากปริมาณการขายข้าวออกสู่ตลาดลดลงก็จะมีผลต่อตลาดทำให้ราคาดีขึ้นด้วย
นายธนินท์กล่าวว่า ปัญหาการรับจำนำข้าวราคาสูงแล้วขายในราคาที่ต่ำจนทำให้ขาดทุนมหาศาลนี้ เกิดเนื่องจากรัฐบาลไทยบริหารจัดการช้า อีกทั้งอินเดียมีข้าวส่งออกมากเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ค่าเงินของอินเดีย และเวียดนามอ่อนค่าลงหลาย 10% ทำให้ราคาข้าวส่งออกของประเทศเหล่านี้ถูกกว่าเมื่อเทียบกับราคาข้าวของไทย เพราะค่าเงินบาทไทยแข็งค่าขึ้น และราคาขายก็แพงขึ้นด้วย
นอกจากนี้ นายธนินท์ยังสนับสนุนโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท โดยอาศัยข้อมูลทางประวัติศาสตร์ประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน รวมทั้งจีนที่มีการลงทุนโครงการรถไฟฟ้า และรถไฟรางคู่แล้ว ประเทศเหล่านั้นไม่ได้ยากจน หรือก่อหนี้แก่ลูกหลาน มีแต่ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น รวมทั้งราคาที่ดินโดยรอบจะปรับตัวสูงขึ้น ที่ผ่านมาไทยลงทุนช้าไปแล้ว หากไม่เร่งลงทุนประเทศเพื่อนบ้านก็จะแซงไป