ตลาดหลักทรัพย์และสถาบันการเงินบางแห่งกำลังลดปริมาณการใช้ตั๋วเงินคลังสหรัฐในฐานะหลักทรัพย์ค้ำประกันการทำธุรกรรมในหุ้นและสัญญาสว็อปแล้ว ในขณะที่สถาบันการเงินกลุ่มนี้เตรียมพร้อมสำหรับความเป็นไปได้ในการที่รัฐบาลสหรัฐจะผิดนัดชำระหนี้
ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงประกาศในวันที่ 10 ต.ค.ว่า ทางตลาดจะลดมูลค่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐลงมากยิ่งขึ้นเมื่อมีการนำพันธบัตรดังกล่าวมาใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการลงทุน
เทรดเดอร์และผู้บริหารความเสี่ยงในธนาคารพาณิชย์กล่าวว่า พวกเขากำลังสอดส่องดูแลพอร์ทลงทุนและหลักทรัพย์ค้ำประกันอย่างระมัดระวัง โดยผู้บริหารบางคนได้จัดเตรียมแผนรับสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อรับมือกับการผิดนัดชำระหนี้ และรับมือกับการที่พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐสูญเสียสภาพคล่องอย่างฉับพลัน โดยปัจจุบันนี้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐถือเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากเงินสด
เทรดเดอร์คนหนึ่งในธนาคารของสหรัฐกล่าวว่า "แผนรับสถานการณ์ฉุกเฉินนี้มีขึ้นเพื่อรับมือกับการผิดนัดชำระหนี้ และแผนนี้มุ่งเป้าสนใจหลักไปที่การรักษาสภาพคล่อง" โดยเขากล่าวเสริมว่า ถ้าหากรัฐบาลสหรัฐ ผิดนัดชำระหนี้ ตั๋วเงินคลังระยะสั้นของสหรัฐก็จะไม่ได้รับการยอมรับในฐานะหลักทรัพย์ค้ำประกันอีกต่อไป
เทรดเดอร์คนนี้กล่าวว่า "ข้อตกลงในการซื้อคืนพันธบัตรหลายฉบับ ได้ถูกแก้ไขอยู่ในขณะนี้ เพื่อตัดเครื่องมือทางการเงินประเภทนี้ออกไป โดยมีจุดประสงค์เพื่อรับประกันระดับสภาพคล่อง"
เทรดเดอร์คาดว่า ตลาดการซื้อคืนพันธบัตร (รีโป) ของสหรัฐ ซึ่งมีขนาด 5 ล้านล้านดอลลาร์ จะเป็นตลาดที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด ถ้าหากรัฐบาลสหรัฐผิดนัดชำระหนี้ โดยตลาดรีโปเป็นตลาด ที่ใช้ในการกู้เงินระยะสั้น โดยใช้หลักทรัพย์ของรัฐบาลเป็นเครื่องมือค้ำประกัน
ถึงแม้นักลงทุนเชื่อว่า รัฐบาลสหรัฐจะชำระหนี้ในอนาคต แต่การชำระหนี้ล่าช้าเพียงชั่วคราวก็จะถือเป็นการผิดนัดชำระหนี้ และตลาดการเงินจะไม่นำหลักทรัพย์ที่ผิดนัดชำระหนี้มาใช้ในการค้ำประกันการค้าหรือการกู้ยืมเงิน
หน่วยงานส่วนใหญ่ของรัฐบาลสหรัฐปิดทำการนับตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. เป็นต้นมา เนื่องจากสมาชิกสภาคองเกรสไม่สามารถตกลงกันได้ในเรื่องการจัดสรรงบประมาณสำหรับการดำเนินงานให้แก่รัฐบาล
ประธานาธิบดีบารัค โอบามา และผู้นำพรรครีพับลิกันกำลังเจรจากันเพื่อพยายามเปิดหน่วยงานรัฐบาลและเพิ่มเพดานหนี้สำหรับช่วงหลังวันที่ 17 ต.ค.
ถ้าหากไม่มีการบรรลุข้อตกลงกัน หนี้สินของรัฐบาลสหรัฐก็จะชนระดับเพดานที่ 16.7 ล้านล้านดอลลาร์ และรัฐบาลสหรัฐอาจจะผิดนัดชำระหนี้พันธบัตรรัฐบาลและผิดนัดการชำระเงินในโครงการสวัสดิการสังคมในช่วง ปลายเดือนต.ค.หรือต้นเดือนพ.ย.
บริษัทฮ่องกง เอ็กซ์เชนเจส แอนด์ เคลียริง (HKEx) ระบุว่า ทางบริษัทจะปรับลดมูลค่าตั๋วเงินคลังสหรัฐที่มีกำหนดไถ่ถอนต่ำกว่า 1 ปีลง 3 % จากเดิมที่ปรับลดลงเพียง 1 % ในปัจจุบัน โดยการปรับลดนี้จะใช้กับตั๋วเงินคลังสหรัฐที่นำมาใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการทำธุรกรรม
ส่วนตั๋วเงินคลังสหรัฐที่มีกำหนดไถ่ถอนนานกว่า 1 ปีจะยังคงใช้อัตราการปรับลดเดิม โดย HKEx เป็นบริษัทโฮลดิ้งของตลาดหุ้นฮ่องกง, ตลาดสัญญาล่วงหน้าฮ่องกง และบริษัทชำระบัญชีหลักทรัพย์ฮ่องกง
HKEx ระบุว่า "ผู้มีส่วนร่วมในตลาดควรจัดเตรียมการระดมทุนที่จำเป็นเพื่อจะได้เพิ่มเงินประกันใดๆก็ตามที่ลดลงต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ โดยการลดลงนี้เป็นผลมาจากการปรับลดมูลค่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในอัตราที่สูงกว่าเดิม"
ตลาดหลักทรัพย์อื่นๆในเอเชียยังไม่ได้เปิดเผยแผนการในการรับมือกับการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาลสหรัฐ
นายเซียว แซง-จูน ผู้จัดการด้านสภาพตลาดในตลาดเกาหลีใต้ กล่าวว่า "เรากำลังจับตาดูสถานการณ์ แต่เราไม่คิดว่าสถานการณ์จะดำเนินไปจนถึงขั้นที่เราต้องประกาศใช้แผนฉุกเฉิน" และเขากล่าวเสริมว่า พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ไม่ใช่สิ่งที่มักจะนำมาใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการกู้ยืมในเกาหลีใต้
ทางด้านบริษัทเจแปน ซีเคียวริตีส์ เคลียริง คอร์ป ซึ่งให้บริการด้านการชำระบัญชีหลักทรัพย์แก่ตลาดหุ้นโตเกียว กำลังทบทวนกระบวนการดำเนินงานอยู่ในขณะนี้
นายคัทสึยะ ซาคาบะ หัวหน้าแผนกบริหารความเสี่ยงของบริษัทนี้ กล่าวว่า "กฎระบุว่า ถ้าหากเกิดการผิดนัดชำระหนี้ เราก็จะทบทวนการปรับลดมูลค่าหลักทรัพย์ค้ำประกันการกู้ยืม โดยเราอาจจะปรับลดมูลค่าหลักทรัพย์ในอัตราที่สูงขึ้น ถึงแม้ว่าเรายังไม่เคยทำเช่นนี้มาก่อน แม้แต่เมื่อ 2 ปีก่อน" ซึ่งเป็นช่วงที่นักการเมืองสหรัฐเคยมีปัญหาขัดแย้งเรื่องหนี้แบบเดียวกันในปี 2011
ทั้งนี้ ความเสี่ยงที่สหรัฐจะผิดนัดชำระหนี้สร้างความกังวลต่อผู้ควบคุมกฎระเบียบและต่อผู้มีส่วนร่วมในตลาด มากกว่าต่อตัวตลาดหลักทรัพย์ต่างๆในเอเชีย เพราะตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในเอเชียใช้เงินสดเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน
ถึงแม้หุ้นในเอเชียได้รับการซื้อขายในตลาดอย่างเป็นทางการ แต่ก็ไม่มีการออกกฎบังคับในเอเชียให้มีการชำระบัญชีสัญญาสว็อปอัตราดอกเบี้ยและสกุลเงินผ่านทางตลาด ในขณะที่มีกฎบังคับเรื่องนี้ ในสหรัฐและในบางประเทศในยุโรป
ในการทำสัญญาสว็อป OTC ส่วนใหญ่และในการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ประเภทอื่นๆในเอเชียนั้น คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายมักจะใช้วิธีนำหลักทรัพย์ค้ำประกันมาฝากไว้ที่อีกฝ่ายหนึ่งโดยตรง
นายแซม อาเหม็ด หัวหน้าฝ่ายบริการหลักทรัพย์ค้ำประกันของซิตี้กรุ๊ประบุว่า การทำข้อตกลงส่วนใหญ่ใช้เงินสดเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน แทนที่จะใช้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
นายอาเหม็ดกล่าวว่า "ตอนนี้เราทำเพียงแค่ติดตามและทดสอบภาวะวิกฤติกับพอร์ทลงทุนของลูกค้า ถ้าหากพอร์ทนั้นถือครองตั๋วเงินคลังสหรัฐระยะสั้นที่มีกำหนดไถ่ถอนในเดือนพ.ย.และธ.ค."
เจ้าหน้าที่บริหารความเสี่ยงในธนาคารเอเชียแห่งหนึ่งกล่าวว่าความเสี่ยงที่หลักทรัพย์ค้ำประกันการทำธุรกรรมจะมีมูลค่าดิ่งลงอย่างรวดเร็ว ถือเป็นความเสี่ยงที่ส่งผลร้ายแรงต่อตลาดหุ้นและตลาดหลักทรัพย์มากกว่าต่อเทรดเดอร์หรือธนาคารแต่ละแห่ง
"ตลาดเหล่านี้ประกอบด้วยหลายๆฝ่าย และยืนอยู่ตรงกลางระหว่างคู่สัญญาในเวลาเดียวกัน ดังนั้นตลาดจึงอาจได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากถ้าหากจัดการผิดพลาด"
(ข่าวจากสำนักข่าว รอยเตอร์)
ทวีสุข ธรรมศักดิ์
Executive Vice President.
RHB-OSK Securities (Thailand)PLC
RHB Banking Group
ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงประกาศในวันที่ 10 ต.ค.ว่า ทางตลาดจะลดมูลค่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐลงมากยิ่งขึ้นเมื่อมีการนำพันธบัตรดังกล่าวมาใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการลงทุน
เทรดเดอร์และผู้บริหารความเสี่ยงในธนาคารพาณิชย์กล่าวว่า พวกเขากำลังสอดส่องดูแลพอร์ทลงทุนและหลักทรัพย์ค้ำประกันอย่างระมัดระวัง โดยผู้บริหารบางคนได้จัดเตรียมแผนรับสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อรับมือกับการผิดนัดชำระหนี้ และรับมือกับการที่พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐสูญเสียสภาพคล่องอย่างฉับพลัน โดยปัจจุบันนี้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐถือเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากเงินสด
เทรดเดอร์คนหนึ่งในธนาคารของสหรัฐกล่าวว่า "แผนรับสถานการณ์ฉุกเฉินนี้มีขึ้นเพื่อรับมือกับการผิดนัดชำระหนี้ และแผนนี้มุ่งเป้าสนใจหลักไปที่การรักษาสภาพคล่อง" โดยเขากล่าวเสริมว่า ถ้าหากรัฐบาลสหรัฐ ผิดนัดชำระหนี้ ตั๋วเงินคลังระยะสั้นของสหรัฐก็จะไม่ได้รับการยอมรับในฐานะหลักทรัพย์ค้ำประกันอีกต่อไป
เทรดเดอร์คนนี้กล่าวว่า "ข้อตกลงในการซื้อคืนพันธบัตรหลายฉบับ ได้ถูกแก้ไขอยู่ในขณะนี้ เพื่อตัดเครื่องมือทางการเงินประเภทนี้ออกไป โดยมีจุดประสงค์เพื่อรับประกันระดับสภาพคล่อง"
เทรดเดอร์คาดว่า ตลาดการซื้อคืนพันธบัตร (รีโป) ของสหรัฐ ซึ่งมีขนาด 5 ล้านล้านดอลลาร์ จะเป็นตลาดที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด ถ้าหากรัฐบาลสหรัฐผิดนัดชำระหนี้ โดยตลาดรีโปเป็นตลาด ที่ใช้ในการกู้เงินระยะสั้น โดยใช้หลักทรัพย์ของรัฐบาลเป็นเครื่องมือค้ำประกัน
ถึงแม้นักลงทุนเชื่อว่า รัฐบาลสหรัฐจะชำระหนี้ในอนาคต แต่การชำระหนี้ล่าช้าเพียงชั่วคราวก็จะถือเป็นการผิดนัดชำระหนี้ และตลาดการเงินจะไม่นำหลักทรัพย์ที่ผิดนัดชำระหนี้มาใช้ในการค้ำประกันการค้าหรือการกู้ยืมเงิน
หน่วยงานส่วนใหญ่ของรัฐบาลสหรัฐปิดทำการนับตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. เป็นต้นมา เนื่องจากสมาชิกสภาคองเกรสไม่สามารถตกลงกันได้ในเรื่องการจัดสรรงบประมาณสำหรับการดำเนินงานให้แก่รัฐบาล
ประธานาธิบดีบารัค โอบามา และผู้นำพรรครีพับลิกันกำลังเจรจากันเพื่อพยายามเปิดหน่วยงานรัฐบาลและเพิ่มเพดานหนี้สำหรับช่วงหลังวันที่ 17 ต.ค.
ถ้าหากไม่มีการบรรลุข้อตกลงกัน หนี้สินของรัฐบาลสหรัฐก็จะชนระดับเพดานที่ 16.7 ล้านล้านดอลลาร์ และรัฐบาลสหรัฐอาจจะผิดนัดชำระหนี้พันธบัตรรัฐบาลและผิดนัดการชำระเงินในโครงการสวัสดิการสังคมในช่วง ปลายเดือนต.ค.หรือต้นเดือนพ.ย.
บริษัทฮ่องกง เอ็กซ์เชนเจส แอนด์ เคลียริง (HKEx) ระบุว่า ทางบริษัทจะปรับลดมูลค่าตั๋วเงินคลังสหรัฐที่มีกำหนดไถ่ถอนต่ำกว่า 1 ปีลง 3 % จากเดิมที่ปรับลดลงเพียง 1 % ในปัจจุบัน โดยการปรับลดนี้จะใช้กับตั๋วเงินคลังสหรัฐที่นำมาใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการทำธุรกรรม
ส่วนตั๋วเงินคลังสหรัฐที่มีกำหนดไถ่ถอนนานกว่า 1 ปีจะยังคงใช้อัตราการปรับลดเดิม โดย HKEx เป็นบริษัทโฮลดิ้งของตลาดหุ้นฮ่องกง, ตลาดสัญญาล่วงหน้าฮ่องกง และบริษัทชำระบัญชีหลักทรัพย์ฮ่องกง
HKEx ระบุว่า "ผู้มีส่วนร่วมในตลาดควรจัดเตรียมการระดมทุนที่จำเป็นเพื่อจะได้เพิ่มเงินประกันใดๆก็ตามที่ลดลงต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ โดยการลดลงนี้เป็นผลมาจากการปรับลดมูลค่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในอัตราที่สูงกว่าเดิม"
ตลาดหลักทรัพย์อื่นๆในเอเชียยังไม่ได้เปิดเผยแผนการในการรับมือกับการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาลสหรัฐ
นายเซียว แซง-จูน ผู้จัดการด้านสภาพตลาดในตลาดเกาหลีใต้ กล่าวว่า "เรากำลังจับตาดูสถานการณ์ แต่เราไม่คิดว่าสถานการณ์จะดำเนินไปจนถึงขั้นที่เราต้องประกาศใช้แผนฉุกเฉิน" และเขากล่าวเสริมว่า พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ไม่ใช่สิ่งที่มักจะนำมาใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการกู้ยืมในเกาหลีใต้
ทางด้านบริษัทเจแปน ซีเคียวริตีส์ เคลียริง คอร์ป ซึ่งให้บริการด้านการชำระบัญชีหลักทรัพย์แก่ตลาดหุ้นโตเกียว กำลังทบทวนกระบวนการดำเนินงานอยู่ในขณะนี้
นายคัทสึยะ ซาคาบะ หัวหน้าแผนกบริหารความเสี่ยงของบริษัทนี้ กล่าวว่า "กฎระบุว่า ถ้าหากเกิดการผิดนัดชำระหนี้ เราก็จะทบทวนการปรับลดมูลค่าหลักทรัพย์ค้ำประกันการกู้ยืม โดยเราอาจจะปรับลดมูลค่าหลักทรัพย์ในอัตราที่สูงขึ้น ถึงแม้ว่าเรายังไม่เคยทำเช่นนี้มาก่อน แม้แต่เมื่อ 2 ปีก่อน" ซึ่งเป็นช่วงที่นักการเมืองสหรัฐเคยมีปัญหาขัดแย้งเรื่องหนี้แบบเดียวกันในปี 2011
ทั้งนี้ ความเสี่ยงที่สหรัฐจะผิดนัดชำระหนี้สร้างความกังวลต่อผู้ควบคุมกฎระเบียบและต่อผู้มีส่วนร่วมในตลาด มากกว่าต่อตัวตลาดหลักทรัพย์ต่างๆในเอเชีย เพราะตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในเอเชียใช้เงินสดเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน
ถึงแม้หุ้นในเอเชียได้รับการซื้อขายในตลาดอย่างเป็นทางการ แต่ก็ไม่มีการออกกฎบังคับในเอเชียให้มีการชำระบัญชีสัญญาสว็อปอัตราดอกเบี้ยและสกุลเงินผ่านทางตลาด ในขณะที่มีกฎบังคับเรื่องนี้ ในสหรัฐและในบางประเทศในยุโรป
ในการทำสัญญาสว็อป OTC ส่วนใหญ่และในการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ประเภทอื่นๆในเอเชียนั้น คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายมักจะใช้วิธีนำหลักทรัพย์ค้ำประกันมาฝากไว้ที่อีกฝ่ายหนึ่งโดยตรง
นายแซม อาเหม็ด หัวหน้าฝ่ายบริการหลักทรัพย์ค้ำประกันของซิตี้กรุ๊ประบุว่า การทำข้อตกลงส่วนใหญ่ใช้เงินสดเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน แทนที่จะใช้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
นายอาเหม็ดกล่าวว่า "ตอนนี้เราทำเพียงแค่ติดตามและทดสอบภาวะวิกฤติกับพอร์ทลงทุนของลูกค้า ถ้าหากพอร์ทนั้นถือครองตั๋วเงินคลังสหรัฐระยะสั้นที่มีกำหนดไถ่ถอนในเดือนพ.ย.และธ.ค."
เจ้าหน้าที่บริหารความเสี่ยงในธนาคารเอเชียแห่งหนึ่งกล่าวว่าความเสี่ยงที่หลักทรัพย์ค้ำประกันการทำธุรกรรมจะมีมูลค่าดิ่งลงอย่างรวดเร็ว ถือเป็นความเสี่ยงที่ส่งผลร้ายแรงต่อตลาดหุ้นและตลาดหลักทรัพย์มากกว่าต่อเทรดเดอร์หรือธนาคารแต่ละแห่ง
"ตลาดเหล่านี้ประกอบด้วยหลายๆฝ่าย และยืนอยู่ตรงกลางระหว่างคู่สัญญาในเวลาเดียวกัน ดังนั้นตลาดจึงอาจได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากถ้าหากจัดการผิดพลาด"
(ข่าวจากสำนักข่าว รอยเตอร์)
ทวีสุข ธรรมศักดิ์
Executive Vice President.
RHB-OSK Securities (Thailand)PLC
RHB Banking Group