ภาคเอกชนรุมอัดแผน “สภาพัฒน์” ไม่เอื้อการทำธุรกิจ แถมโดนการเมืองเข้าแทรกทุกภาคส่วน ยอมรับที่ผ่านมา เอกชนเดินด้วยขาของตัวเองไม่เคยได้รับประโยชน์จากแผนดังกล่าวเลย ห่วงรัฐอ่อนด้อยประสบการณ์ด้านธุรกิจ และไม่เคยสำรวจผลกระทบจากการออกนโยบายต่างๆ ถือเป็นปัจจัยลบที่มีผลต่อการวงแผนของเอกชน
นายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) กล่าวในงานเสวนา “วางรากฐานสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน” โดยระบุว่า ที่ผ่านมา เอกชนไม่เคยให้ความสำคัญกับการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเลย เนื่องจากไม่เคยได้รับประโยชน์จากการดำเนินการเรื่องดังกล่าวในแต่ละครั้ง เพราะการดำเนินการธุรกิจของเอกชนได้ใช้ความสามารถของตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาภาครัฐ เนื่องจากรัฐบาลไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการทำธุรกิจที่เพียงพอ โดยเฉพาะด้านการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งเอกชนมีประสบการณ์ และมีความรู้มากกว่ารัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์
ทั้งนี้ แม้ว่าการดำเนินธุรกิจของเอกชนจะมีทั้งส่วนที่ประสบความสำเร็จ และล้มเหลว แต่ที่ผ่านมา เอกชนก็พร้อมจะปรับตัว และพร้อมจะนำบทเรียนที่มีอยู่มาปรับใช้เป็นข้อมูลในการวางนโยบายด้านเศรษฐกิจกับรัฐบาล ซึ่งยอมรับว่า การดำเนินธุรกิจของเอกชนในปัจจุบันมีความยุ่งยาก และลำบากมากขึ้น โดยเฉพาะเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังที่ยังไม่ฟื้นตัว
“ผมมองว่ารัฐบาลไม่เคยสำรวจนโยบายต่างๆ ที่ใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาเลยว่ามีประสิทธิภาพเพียงพอหรือไม่ ซึ่งนั่นเองถือเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการวางแผนธุรกิจของเอกชนด้วย”
นายบุญชัย ยอมรับว่า ปัจจุบันมองว่า ภาคการเมืองมีบทบาท และเข้ามาแทรกแซงการดำเนินงานของทุกภาคส่วนมากเกินไป ทั้งการทำงานของข้าราชการ และรัฐวิสาหกิจ ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศแต่อย่างใด ขณะที่ภาคประชาชนเองก็ยังไม่มีความรู้และความเข้าใจเพียงพอต่อการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ดังนั้น ในภาพรวมเห็นว่ารัฐบาลควรมีการปฏิรูปโครงสร้างประเทศในทุกส่วนครั้งยิ่งใหญ่
ด้านนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานกรรมการมูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า ส่วนตัวเห็นว่าสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ต้องเปลี่ยนบทบาทตัวเองเพื่อแก้ปัญหาการเติบโตของเศรษฐกิจไทยให้เป็นการเติบโตอย่างยั่งยืน จากการเป็นผู้เสนอแผนพัฒนาเศรษฐกิจ มาเป็นการทำหน้าที่ดูแลการดำเนินนโยบายมหภาคของรัฐบาลที่มีความสำคัญ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการอนุมัติโครงการที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศอย่างแท้จริงเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
ทั้งนี้ รัฐบาลจะต้องมีการปฏิรูประบบการบริหารจัดการ และการดำเนินการทั้งระบบของรัฐบาล เพื่อปิดช่องโหว่ที่ทำให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน เนื่องจากที่ผ่านมา ภาคเอกชนดำเนินธุรกิจได้ยากลำบาก เพราะระบบราชการไทยค่อนข้างล่าช้า และมีช่องว่างที่ทำให้เกิดการทุจริตค่อนข้างสูง
นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจการเงิน เกียรตินาคิน-ภัทร เปิดเผยว่า การวางรากฐานให้เศรษฐกิจไทยถือเป็นเรื่องที่มีประโยชน์อย่างยั่งยืน โดยกลไกสำคัญ คือ ภาคประชาสังคมต้องมีความเข้มแข็ง และภาครัฐต้องเข้ามาส่งเสริมภาคประชาสังคมอย่างเต็มที่ในการทำหน้าที่ในการตรวจสอบเรื่องต่างๆ ขณะที่ภาคองค์กรอิสระจะต้องมีความเข้มแข็ง