xs
xsm
sm
md
lg

“อำมาตย์เต้น”โชว์สุดฝีมือแก้ไข่แพง ค่ายรถหัวทิ่ม ทิ้งจอง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หลังจากฟุตเวิร์กวกไปวนมาวาดลีลาหาทางแก้ไขปัญหาไข่แพงอยู่หลายวัน “อำมาตย์เต้น” นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ก็ปล่อยหมัดเด็ดสุดๆ จัดรายการ “ไข่ไก่ธงฟ้า” ราคาประหยัด แถมด้วยเอสเอ็มเอสแจ้งราคาสินค้าส่งตรงถึงประชาชน อันเป็นมาตรการขายผ้าเอาหน้ารอดของพาณิชย์ที่ใช้มาตั้งแต่โบราณกาล จากนั้นก็ปล่อยให้ชาวบ้านตกระกำลำบากจากปัญหาข้าวของและไข่แพง เฝ้ารอฝนฟ้าอากาศเย็นลงเพื่อให้แม่ไก่ออกไข่ได้เพิ่มขึ้น แล้วไข่ไก่ในตลาดก็จะมีมากขึ้น ราคาถูกลง หมดปัญหาไปเอง

รายการไข่ไก่ธงฟ้า จัดขึ้นเพียงแค่ 3 วัน ระหว่าง 28 - 31 พฤษภาคมนี้ โดยในกรุงเทพฯ จัดที่หน้ากระทรวงพาณิชย์ ส่วนภูมิภาคจำหน่ายที่สำนักงานค้าภายในจังหวัดทั่วประเทศ รวมๆ แล้วประมาณ 3 ล้านฟองเท่านั้น จากปริมาณความต้องการบริโภคไข่ประมาณ 30 กว่าล้านฟองต่อวัน ดังนั้นงานนี้ถ้าใครชักช้าอดหมดสิทธิ์กินไข่ถูกจากฝีมือแก้ไขราคาไข่แพงของอำมาตย์เต้น หลังจากนั้น นับจากเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป พี่น้องประชาชนต้องเชื่ออำมาตย์เต้นว่า สถานการณ์จะดีขึ้น เพราะจะมีผลผลิตมากขึ้น และต้องเชื่อด้วยว่าระหว่างนี้จะมีการตรวจสอบสถานการณ์ราคาขายปลีกไข่อย่างใกล้ชิดเพื่อให้มีการจำหน่ายในราคาที่เหมาะสม

ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงอำมาตย์เต้น พ่อค้าขายไข่ไก่ทั่วประเทศ ก็ต่างพากันให้ข้อมูลผ่านสื่อว่า ราคาไข่ไก่ในปีนี้ได้ปรับราคาขึ้นไปไม่หยุด ผิดกับทุกๆ ปีที่ผ่านมาที่ราคาจะปรับขึ้นในช่วงใกล้เปิดเทอมที่มีความต้องการไข่เพิ่มขึ้นในการทำอาหารเมนูไข่ให้กับนักเรียน หลังจากนั้นสักพักราคาก็จะค่อยๆ ปรับตัวลงสู่ภาวะปกติ ดังนั้น จะว่าไปแล้วราคาไข่ที่ขึ้นไม่หยุดในครั้งนี้มีความ “ผิดปกติ” ที่น่าสงสัยอยู่

ดังความเห็นของพ่อค้าไข่เมืองอุบล นายองอาจ ชายฉลาด พ่อค้าขายไข่ไก่ตลาดค้าส่งเทศบาลเมืองวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี กล่าวถึงราคาไข่ไก่ว่า ปรับตัวลดลงเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเฉลี่ยถาดละ 5 บาท แต่ทราบข่าวจะมีการปรับราคาขึ้นไปอีก

สำหรับยอดขายไข่ของนายองอาจ ขณะนี้มีปริมาณลดลงเหลือประมาณสัปดาห์ละ 2,000 แผง จากเดิมกว่า 3,000 แผง สาเหตุเพราะราคาไข่ปรับตัวสูงกว่าปกติเมื่อเทียบกับทุกปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้บริโภคเริ่มประหยัดส่งผลต่อยอดขาย ซึ่งตามปกติราคาไข่จะปรับตัวสูงในเดือนพฤษภาคมของทุกปี เพราะเป็นช่วงแรกของการเปิดภาคการศึกษา ซึ่งจะมีการใช้ไข่ไก่ปรุงอาหารขายให้นักเรียน แล้วจะเริ่มปรับตัวลดลงในเดือนมิถุนายน แต่ปีนี้ราคาไข่กลับสวนทาง คือ ขึ้นราคาอย่างต่อเนื่อง

ส่วนราคาไข่ไก่ที่รัฐบาลให้ขายฟองละไม่เกิน 3.50 บาทนั้นเป็นราคาไข่ไก่หน้าฟาร์ม ไม่ใช่ราคาขายในตลาด ซึ่งต้องบวกค่าขนส่งและกำไรด้วย โดยราคาขายส่งไข่ไก่วันนี้ เบอร์ 0 แผงละ 120 บาท เบอร์ 1 แผงละ 110 บาท เบอร์ 2 แผงละ 105 บาท เบอร์ 3 แผงละ 100 บาท และเบอร์ 4 แผงละ 95 บาท พ่อค้าขายไข่เมืองอุบลฯ สอนมวยรัฐมนตรีณัฐวุฒิ ให้รู้ว่าที่พาณิชย์ประกาศคุมราคาไม่เกินฟองละ 3.50 บาทนั้น ไม่มีทางเป็นไปได้ที่ผู้บริโภคจะสามารถซื้อไข่ในราคาดังว่านั้นได้จริง

ขึ้นไปทางภาคเหนือ นางจินดา สุวรรณ์ แม่ค้าไข่ไก่ตลาดสดเทศบาลเมืองพิจิตร เปิดเผยว่า ขณะนี้ไข่ไก่ปรับราคาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยไข่เบอร์ 0 เดิมจำหน่ายราคาฟองละ 4 บาท ปรับขึ้นเป็นฟองละ 4.20 บาท 10 ฟอง 42 บาท แต่ไม่มีสินค้ามาวางขายเพราะของขาดตลาด ส่วนไข่ไก่เบอร์ 1 เดิมฟองละ 3.50 บาท ปรับเป็น 3.80 บาท 10 ฟอง 38 บาท เบอร์ 3 จากฟองละ 2.50 บาท ปรับเป็น 3.50 บาท 10 ฟอง 35 บาท และไข่ไก่คละเบอร์ คือ เบอร์ 4-5 จากฟองละ 2.30 บาท ปรับเป็น 3.30 บาท 10 ฟอง 33 บาท ชนเพดานราคาแนะนำของกระทรวงพาณิชย์แล้ว

“ไข่ไก่ทุกขนาดต่างปรับราคาขึ้นเกือบ 1 บาท ไข่เป็ดก็พลอยขาดตลาดตามไปด้วย”

ลงมาทางใต้ปลายด้ามขวาน มีเสียงสะท้อนจากร้านชำในหมู่บ้านที่จังหวัดสงขลา นายหมัดอุสัน เก็มเบ็ญหมาน หนึ่งในเจ้าของร้านชำในพื้นที่หมู่ 1 ตำบลฉลุง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ให้ข้อมูลว่า จำเป็นต้องปรับราคาไข่ไก่สูงขึ้นเพราะซื้อมาแพง ขณะนี้ราคาขายส่งปรับตัวสูงขึ้น โดยขนาดใหญ่สุดเบอร์ 0 ขายส่งแผงละ 135 บาท เบอร์ 1 แผงละ 126 บาท เบอร์ 2 แผงละ 120 บาท เบอร์ 3 แผงละ 114 บาท เบอร์ 4 แผงละ 105 บาท เบอร์ 5 แผงละ 99 บาท ทำให้เมื่อนำมาขายปลีก ไข่เบอร์ 0 จะอยู่ที่ลูกละ 6 บาท ส่วนเบอร์ 1 ลูกละ 5 บาท ลดหลั่นกันไป โดยส่วนใหญ่เจ้าของร้านชำเลือกขายเฉพาะเบอร์ 1 หรือเบอร์ที่ต่ำลงไปเพราะชาวบ้านยังพอมีกำลังซื้อได้ส่วนเบอร์ 0 นั้นราคาสูง ขายยาก

ราคาไข่ไก่แพงเป็นปัญหาปากท้องของประชาชนที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ต้องเร่งแก้ไขปัญหา หรือหามาตรการต่างๆ ที่ไม่ใช่เพียงแค่ธงฟ้าออกมาช่วยเหลือประชาชน และไม่ใช่ปล่อยให้รัฐมนตรีณัฐวุฒิ ออกมาตีฝีปาก เบี่ยงประเด็นโยงเป็นเรื่องการเมืองไปโน่น

“ถ้าจะเล่นการเมืองก็มาเล่นกับผม อย่าไปเลยเถิดเล่นเอาผู้บริโภคหรือผู้ประกอบการผู้ผลิตต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ปัญหาการเมืองมีให้เล่นอีกมาก อย่าเอาปัญหาความเดือดร้อนประชาชนมาเล่นการเมืองเลย” นายณัฐวุฒิ พูดถึงการเข้ามาตรวจสอบราคาไข่ไก่ของฝ่ายค้าน แถมยังเรียกร้องว่า การแก้ไขปัญหาให้ประชาชน ถือว่าเป็นความรับผิดชอบของฝ่ายการเมืองที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน รัฐบาลทำหน้าที่ ฝ่ายค้านจะตรวจสอบก็ทำหน้าที่ไป แต่ไม่ใช่การดึงมาสู่เกมการเมืองจนทำให้เกิดความเสียหาย

การตรวจสอบการทำงานและการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนเป็นการทำงานตามปกติของฝ่ายค้าน ยังน่าสงสัยว่านายณัฐวุฒิ จะเบี่ยงประเด็นให้เป็นการเล่นเกมการเมืองไปทำไม ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่มีฝีมือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

นี่ยังไม่นับว่า มีความผิดปกติประการหนึ่งที่ต้องถามไถ่ก็คือ ราคาไข่แพงเป็นผลของความผิดพลาดจากการเข้าไปแก้ไขปัญหาไข่ไก่ล้นตลาดเมื่อไม่นานมานี้หรือไม่ โดยเมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี ได้อนุมัติเงิน 131 ล้านบาท ให้กับกระทรวงพาณิชย์ ไปแก้ไขปัญหาไข่ไก่ล้นตลาด จึงน่าสงสัยว่าการแทรกแซงตลาดด้วยงบร้อยกว่าล้านดังกล่าว เป็นเหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่ส่งผลให้ไข่ไก่ขึ้นราคาแล้วมาอ้างอากาศร้อน แม่ไก่ไข่ได้น้อย ดังที่กระทรวงพาณิชย์และผู้เลี้ยงไก่ใช้อธิบายต่อพ่อค้าแม่ค้าขายไข่และผู้บริโภค อยู่ในเวลานี้ ใช่หรือไม่

ถ้าหากสืบสาวเอาความแล้วได้เรื่องว่าไข่แพงเพราะการแทรกแซงราคาแล้วพาให้ตลาดปั่นป่วนสร้างเคราะห์กรรมให้กับประชาชน นายณัฐวุฒิ ควรจะแสดงความรับผิดชอบต่อปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยการลาออก แทนที่จะมาเฉไฉว่าเรื่องไข่แพงเป็นปัญหาทางการเมืองที่ฝ่ายค้านยกขึ้นมาเล่นงานรัฐบาล

นอกเหนือจากปัญหาราคาไข่แพงที่รัฐบาลพยายามกลบเกลื่อนแล้ว ยังมีเรื่องที่สะท้อนให้เห็นสภาพเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการปั่นฟองสบู่ที่ใกล้จะแตกดังโพล๊ะในเร็ววันนี้ แต่รัฐบาลก็พยายามกลบเกลื่อนว่าไม่มีปัญหาเช่นกัน นั่นก็คือ ตัวเลขการทิ้งยอดจองรถคันแรกที่เพิ่มสูงขึ้น จากเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง ออกมาบอกว่า มียอดทิ้งรถแค่เล็กน้อย 10 - 20% หรืออย่างมากสุดคงไม่เกิน 200,000 คัน จากยอดจองทั้งหมดประมาณ 1.25 ล้านคัน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ แต่ผ่านมาไม่ทันไร ฝ่ายค่ายรถเช่นมาสด้า ก็ออกมาบอกว่า ยอดทิ้งจองรถคันแรกนั้นพุ่งสูงถึง 70%

น.ส.สุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) ให้สัมภาษณ์ว่า บริษัทได้ปรับลดกำลังการผลิตให้สัมพันธ์กับยอดจองใหม่ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นผลจากภาวะตลาดรถยนต์ที่ชะลอตัวลง ประกอบกับลูกค้าที่จองรถยนต์ในโครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรกได้ปฏิเสธการรับรถเป็นจำนวนมาก จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 20-30% แต่ปัจจุบันได้เพิ่มเป็น 70% จากยอดจอง 1.7 หมื่นคัน และเชื่อว่าทุกบริษัทได้รับผลกระทบเช่นกัน

ขณะที่ค่ายรถอันดับสองอย่างโตโยต้า ก็ยอมรับว่า ยอดซื้อรถยนต์ชะลอตัวลงอย่างชัดเจน โดยนายวิเชียร เอมประเสริฐสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า สัญญาณการหดตัวของตลาดรถยนต์เริ่มมีความชัดเจน คาดว่าช่วงไตรมาสสามของปีนี้จะเห็นผลกระทบ จากการทยอยส่งมอบรถในโครงการรถยนต์คันแรกหมดลงเรื่อยๆ นั่นจะส่งผลให้ภาพตลาดรวมทั้งปีเป็นไปตามที่บริษัทประเมินไว้ หรือชะลอตัวประมาณ 10% เมื่อเทียบกับปี 2555

การทิ้งยอดจองรถในโครงการรถคันแรก เป็นดัชนีชี้วัดว่า ประชาชนกระเป๋าแฟบ และผลจากโครงการรถคันแรกยังดูดเอากำลังซื้อ การจับจ่ายใช้สอยหดหายไปอีกเพราะต้องเก็บออมไว้เพื่อผ่อนรถ ดังที่ผู้บริหารสหพัฒนพิบูล ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ ชี้ชัดว่า ผู้บริโภคมีกำลังซื้อลดลงและยังไม่เห็นวี่แววการฟื้น

นายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหพัฒนพิบูล ในเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า ผลพวงจากนโยบายรถคันแรกในปีที่ผ่านมาส่งผลกระทบให้ผู้บริโภคมีกำลังการซื้อลดลง และชะลอการซื้อสินค้าในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา รวมถึงยังพบว่ากำลังการซื้อในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ตั้งแต่เดือน เมษายน -พฤษภาคม ยังไม่ฟื้นตัว และยังคาดการณ์ว่ากำลังการซื้อของผู้บริโภคจะยังคงซบต่อเนื่องลากยาวจนถึงสิ้นปีนี้ หากภาครัฐไม่มีนโยบายหรือมาตรการใดๆ ออกมากระตุ้นการจับจ่ายของผู้บริโภค หลังจากผู้บริโภคลดการจับจ่ายลงเนื่องจากต้องกันเงินส่วนหนึ่งไว้จ่ายค่างวดรถคันแรก

“ปีนี้กำลังการซื้อผู้บริโภคไม่ดีมาก แม้กระทั่งตลาดอุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นสินค้าที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันยังได้รับผลกระทบ ทำให้บริษัทต้องปรับแผนการทำตลาด และปรับลดเป้าหมายการเติบโตจากเดิมตั้งไว้ 18% เป็นเหลือ 12% จากปีที่ผ่านมามีรายได้ 2.7 หมื่นล้านบาท” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหพัฒนพิบูล กล่าว

เช่นเดียวกับนายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่ง-ค้าปลีกไทย ที่ประเมินไปในทิศทางเดียวกันว่า กำลังการซื้อไตรมาส 2 ของผู้บริโภคยังไม่มีสัญญาณว่าจะฟื้นตัว โดยกลุ่มผู้บริโภคที่น่าจะเป็นห่วงคือกลุ่มระดับกลาง-ล่าง จนถึงกลุ่มรากหญ้า และคาดว่าจะซบลากยาวกระทั่งถึงสิ้นปีนี้ หรืออาจซบต่อเนื่องถึงขั้น 5 ปี หรือจนกว่าจะผ่อนรถหมด

นี่คือสภาพเศรษฐกิจที่ประชาชนตาดำๆ กำลังเผชิญอยู่จริง การฝากความหวังไว้กับรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษ์ ชินวัตร ที่เคยอวดโอ่ว่าจะกระชากค่าครองชีพให้ต่ำลง คงเป็นเรื่องเพ้อฝันลมๆ แล้งๆ มีแต่ต้องรัดเข็มขัด ประหยัดช่วยเหลือตัวเอง ไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย และเลิกเชื่อคำเพ้อเจ้อไปกับการสร้างภาพหลอกไปวันๆ ของรัฐบาล ถึงจะสามารถอยู่รอดได้
กำลังโหลดความคิดเห็น