- ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของยูโรโซนเดือน ส.ค.เพิ่มขึ้น 1.3% จาก 1.6% ในเดือน ก.ค. โดยการชะลอตัวเป็นผลจากราคาพลังงานที่ลดลง
- ยอดค้าปลีกของเยอรมนีเดือน ก.ค.ลดลง 1.4% จากก่อน หดตัว 2 เดือนต่อเนื่องกัน ซึ่งน่าผิด หวังเมื่อเทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นเพราะข้อมูลสำคัญทางเศรษฐกิจดูสดใสในช่วงที่ผ่านมา แสดงว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอน
- สนง.เศรษฐกิจแห่งชาติสเปน เปิดเผยว่า เศรษฐกิจสเปนหดตัวลง 0.1% ใน Q2 จาก 0.4% ใน Q1 เป็นการหดตัวติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 8 บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจยังคงอยู่ในภาวะถดถอย
- อัตราการว่างงานของอิตาลีเดือน ก.ค. ลดลงสู่ 12.0% ดีขึ้นเล็กน้อยจาก 12.1% ในเดือนก่อนโดยยังคงอยู่เหนือระดับ 10% มา 18 เดือนติดต่อกัน
- ยอดปล่อยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ของอังกฤษเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้นเป็น 60,624 ราย จาก 58,283 รายในเดือนก่อน จากการที่รัฐบาลมีมาตรการออกมากระตุ้นกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์
- ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ส.ค. ของสหรัฐลดลงสู่ 82.1 จาก 85.1 ในเดือนก่อน เพราะอัตราดอกเบี้ยจดจำนองสูงขึ้น รวมถึงเหตุในอียิปต์และซีเรียส่งผลให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น
- ยอดบริโภคส่วนบุคคลเดือน ก.ค. ของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือน ก.ค. ซึ่งขยายตัวน้อยกว่าที่ตลาดคาด จากการที่ชาวอเมริกันชะลอการซื้อสินค้าคงทนและซื้อสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันลดลง
- ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เดือน ส.ค. ของสหรัฐเขตชิคาโกเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 53.0 จาก 52.3 ในเดือน ก.ค. โดยได้รับปัจจัยหนุนจากกิจกรรมในภาคธุรกิจและราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น
- บรรษัทประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC) เปิดเผยว่า ภาคธนาคารของสหรัฐมีกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4.42 หมื่นล้านดอลลาร์ใน Q2 โดยมีรายได้ที่ไม่ใช่อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น มีค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลดลง และสำรองหนี้เสียลดลง
- ประธานาธิบดีโอบามาจะสั่งการให้โจมตีซีเรียด้วยการปฏิบัติการอย่างจำกัด (ทหารจะไม่เดินเท้าเข้าไป) ต่อเมื่อได้รับการอนุมัติจากสภาคองเกรส ซึ่งอังกฤษลงคะแนนเสียงไปแล้วว่าไม่ให้ เดวิด คาเมรอน นำอังกฤษเข้าสู่สงครามซีเรีย อย่างไรก็ตาม สงครามภายในซีเรียดำเนินมาแล้ว 2 ปี โดยฝ่ายกบฎในซีเรียมีพันธมิตรตะวันตกรวมทั้งซาอุดิอาระเบียกับการ์ต้าซึ่งเป็นมุสลิมนิกายสุหนี่ให้ความช่วยเหลือก็ยังล้มรัฐบาลอัสสาดเป็นอิสลามซีอะห์ที่ฝักใฝ่กับอิหร่านไม่ได้ และพวกกบฎที่นำโดยกลุ่มอัลกอร์อิดะห์ก็ไม่ได้มีอะไรดีกว่ารัฐบาลอัสสาด ทั้งนี้ ถ้าสหรัฐโจมตีซีเรีย รัสเซียก็อาจสั่งให้ถล่มซาอุดิอาระเบีย โดยมีกลุ่มฮิซบอเลาะห์ในเลบานอนซึ่งเป็นอิสลามซีอะห์และอิหร่านอาจช่วยซีเรียด้วยการโจมตีอิสราเอลเป็นการตอบโต้
- ดัชนี้ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เดือน ส.ค. ของจีนเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 51.0 จาก 50.3 ในเดือนก.ค. ขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือน และขยายตัวสูงสุดในปีนี้ จากกิจกรรมการผลิตที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง บ่งขี้ว่าเศรษฐกิจของจีนได้ผ่านพ้นช่วงการชะลอตัวแล้ว
- การสร้างบ้านของญี่ปุ่นเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบรายปี เพิ่มขึ้น 11 เดือนติดกันจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ดีขึ้นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ค่อยๆ ฟื้นตัวจากความตกต่ำนับจากปี 2552
- อัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้น 0.7% จาก -0.1% ในเดือนก่อนหน้า สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2008 อันเป็นผลดีมาจากมาตรการแก้ปัญหาเงินฝืดของรัฐบาลและของธนาคารกลางญี่ปุ่น
- ยอดเกินดุลการต้าของเกาหลีใต้ขยายตัวเกือบ 2 เท่าในเดือน ส.ค. สู่ 4.92 พันล้านดอลลาร์ จาก 2.54 พันล้านดอลลาร์ในเดือน ก.ค. เพราะอุปสงค์ที่แข็งแกร่งของจีนและสหรัฐทำให้การส่งออกขยายตัวรวดเร็วถึงแม้เศรษฐกิจของอินเดียและอินโดนีเซียจะชะลอตัวลง
- นายกรัฐมนตรีอินเดีย เปิดเผยว่า เงินรูปีกำลังจะฟื้นตัวขึ้นจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรัฐบาลกำลังจัดการกับการขาดดุลงบประมาณและเงินบัญชีเดินสะพัด สนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศ ตลอดจนจำกัดการอุดหนุนด้านเชื้อเพลิง และมุ่งที่จะลดเงินเฟ้อ ซึ่งจะบรรเทาความกังวลว่าการอ่อนค่าของเงินรูปีจะทำให้เศรษฐกิจของอินเดียไร้เสถียรภาพ
- ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ปัจจัยเสี่ยง 6 ข้อ ของอุตสาหกรรมไทยในครึ่งปีหลัง ได้แก่ ต้นทุนแรงงานเพิ่มขึ้น การชะลอตัวทางเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ วัตถุดิบและเชื้อเพลิงสูงขึ้น การแข่งขันในตลาดมีความรุนแรง ปัญหาขาดแคลนแรงงาน และความผันผวนของค่าเงิน ซึ่งต้องการให้ภาครัฐดูแลปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ดังกล่าว
- ธปท.รายงานตัวเลขเศรษฐกิจไทยเดือน ก.ค.ว่ายังชะลอตัวลงต่อเนื่องจากเดือนก่อน ตามการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนที่ลดลงจากการซื้อรถยนต์และสินค้าคงทนอื่น ขณะที่การส่งออกลดลงเพราะอุปสงค์ต่างประเทศยังเปราะบางและข้อจำกัดด้านวัตถุดิบของไทยซึ่งส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนภาคเอกชนหดตัวตาม แต่ภาคการท่องเที่ยวยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง
- SET Index ปิดที่ 1,294.30 จุด เพิ่มขึ้น 1.77 จุด หรือ +0.14% ด้วยมูลค่าซื้อขาย32,343.47 ล้านบาท เป็นการปรับตัวในทิศทางเดียวกับตลาดในกลุ่ม TIP หลังจากที่นักลงทุนคลายความกังวลต่อปัญหาความไม่สงบในซีเรีย ทั้งนี้ หลักทรัพย์กลุ่มสื่อสารมีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด
- ธปท. คาดว่า อีกไม่นานเงินทุนเคลื่อนย้ายจะไหลกลับเข้าไทยจากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่ยังคงแข็งแกร่ง โดยเศรษฐกิจไทยและเอเชียยังไม่มีประเด็นที่น่ากังวลเป็นพิเศษ และยังคงมีเสถียรภาพกับความมั่นคงของระบบการเงินกับสถาบันการเงินที่เพียงพอ ซึ่งหากประเมินความน่า สนใจในตลาดเกิดใหม่ก็เชื่อว่า ผลตอบแทนของไทยยังดึงดูดความน่าสนใจของนักลงทุนต่างชาติได้
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเปลี่ยนแปลงในช่วง -0.01% ถึง -0.07% โดยเป็นการปรับ ตัวลงทุกช่วงอายุของตราสาร ด้วยมูลค่าซื้อขายรวม 98,151 ล้านบาท สำหรับวันนี้ไม่มีการประมูล
- สุชาดา กิระกุล ที่ปรึกษาผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยว่า ธปท.ไม่ได้กังวลต่อระดับหนี้ต่างประ เทศที่อาจเพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ค่าเงินบาทอ่อนค่า ซึ่งประเมินในระดับปกติแล้วพบว่าระดับหนี้ยังไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก แต่เปลี่ยนแปลงตามการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาถือครองพันธบัตร
- Marc Faber ระบุว่า ราคาทองคำได้ปรับตัวลงไปอย่างมากแล้วจากจุดสูงสุด 1,921 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในเดือน ก.ย.ปี 2011 จนมีจุดต่ำสุดที่ต่ำกว่า 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ซึ่งการปรับตัวลดลงของสินทรัพย์ที่อยู่ในตลาดกระทิงระยะยาวก็เป็นเรื่องปกติ อย่างในปี 1987 ตลาดหุ้นหลายแห่งก็ปรับตัวลดลง 40%-50% แต่ความเป็นตลาดกระทิงก็ยังคงอยู่จนจบรอบในปี 2000
ดังนั้น จึงต้องดูปัจจัยพื้นฐาน คือหนี้จำนวนมหาศาลของภาครัฐว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปได้แค่ไหน และดูว่าธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกจะใช้นโยบายอัดฉีดเงินหรืออื่นๆ เพิ่มได้อีกอย่างไร
รัฐบาลสหรัฐใช้เวลาถึง 200 ปีทำให้มีหนี้สินเป็น 1 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 1980 ใช้เวลาอีกเพียง 20 ปีทำให้หนี้เพิ่มขึ้น 5 เท่าเป็น 5 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2000 แต่ขณะนี้หนี้ได้พุ่งกระฉูดขึ้นสู่ 17 ล้านล้านดอลลาร์แล้วหลังจากนั้น 12 ปี
แนวโน้มการทวีเพิ่มของหนี้ภาครัฐจึงชัดเจนแล้วว่าจะมีทิศทางอย่างไร นอกจากนี้ การขาดดุลงบประมาณจะยิ่งเร่งตัวขึ้นด้วย 2 สาเหตุคือ 1. อัตราดอกเบี้ยที่จะสูงขึ้น และ 2. เบบี้บูมจำนวนมากกำลังเกษียณ ทำให้รัฐต้องจ่ายบำนาญให้ในจำนวนเงินที่มากขึ้น ดังนั้น จึงไม่มีทางที่หนี้ภาครับจะลดลงได้เลย
เมื่อพิจารณาเรื่องนี้แล้วจึงเชื่อว่า ราคาทองคำมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นในระยะยาวและน่าจะผ่านจุดต่ำสุดที่ระดับต่ำกว่า 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ไปแล้ว
- Tom Fitzpatrick นักวิเคราะห์ทองคำของ Citi Group ระบุด้วยความมั่นใจว่า ราคาทองคำจะพุ่งสูงขึ้นถึงระดับ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายใน 3 ปีนี้ โดยพิจารณาจากเรื่องเพดานหนี้สหรัฐที่น่าจะขยายไปได้ถึง 22 ล้านล้านดอลลาร์ภายใน 3 ปีข้างหน้า และให้เหตุผลสนับสนุนว่าเมื่ออเมริกายังใช้จ่ายเกินรายได้โดยผลักภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นไปให้คนในเจเนอเรชั่นหน้า ทองคำจึงเป็นสินทรัพย์ที่จะต่อต้านนโยบายมือเติบนั้นได้