เป๊ปซี่ลั่นขอทวงแชมป์น้ำดำในไทยคืนไม่เกิน 1-2 ปีนี้ หลังทำตลาดเอง 6 เดือนขึ้นแชมป์ที่หนึ่งในช่องทางโมเดิร์นเทรด พร้อมบุกร้านค้าทั่วไปและร้านอาหารให้ได้สองเท่าจาก 1.2 แสนรายทั่วประเทศให้เร็วที่สุด ด้วยสายการผลิต 8 ไลน์เต็มกำลังในปีหน้า มั่นใจทวงคืนบัลลังก์ได้ไม่ยาก ล่าสุดผนึกกำลังกลุ่มธุรกิจขนมขบเคี้ยวสร้างแกร่งในธุรกิจเครื่องดื่มและสแน็กให้เติบโตไปด้วยกัน
นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ประธาน บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทพร้อมผลิตเครื่องดื่มเป๊ปซี่เองตั้งแต่วันที่ 2 พ.ย. 2555 ปีที่ผ่านมา พบว่าภายใน 6 เดือนที่ผ่านมาสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในช่องทางขายโมเดิร์นเทรดได้แล้ว ซึ่งเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ขณะที่ช่องทางเทรดิชันนัลเทรด กลุ่มร้านค้า ร้านอาหารทั่วไปนั้น ขณะนี้ทำได้กว่า 1.2 แสนรายทั่วประเทศ ซึ่งบริษัทต้องการเพิ่มให้ได้อีกเท่าตัวภายในระยะอันใกล้ที่สุดเพื่อที่จะได้ครอบคลุมกลุ่มฐานลูกค้าเดิมที่มีอยู่ทั้งหมด
นอกจากนี้บริษัทจะต้องมีกำลังการผลิตให้ครบทั้ง 8ไลน์ด้วยจึงจะเพียงพอต่อการซัปพลายสู่ตลาด โดยล่าสุดขณะนี้ทางโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ.ระยอง สามารถผลิตสินค้าได้ทั้งหมด 5 ไลน์แรก ซึ่งได้เริ่มดำเนินการผลิตตั้งแต่เดือนตุลาคม 2555 ส่วนในปีนี้ได้เพิ่มไลน์การผลิตอีก 3 ไลน์ โดย 2 ไลน์แรกที่เพิ่มเข้ามานั้นได้เริ่มผลิตตั้งแต่ในช่วงไตรมาสสองที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเร็วกว่าแผนที่วางไว้ เหลือเพียงไลน์สุดท้ายซึ่งกำลังจะแล้วเสร็จในต้นปี 2557
ทั้งนี้ การเพิ่มไลน์การผลิตใหม่ทั้ง 3 ไลน์จะเพิ่มกำลังการผลิตสูงสุดของกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มได้ถึง 81% จากปัจจุบันกำลังการผลิตต่อวันอยู่ที่ 2 แสนลังต่อวันในขนาด 8 ออนซ์ ทั้งนี้หากความพร้อมด้านกำลังการผลิต ช่องทางการจัดจำหน่าย และการขนส่ง พร้อมทั้งหมด เชื่อว่าเป๊ปซี่จะกลับขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดอีกครั้ง โดยน่าจะไม่เกิน 1-2 ปีหลังจากนี้
นายจา-กรูท โคเตชา กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่ม บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวเสริมว่า ประเทศไทยถือเป็นตลาดที่มีการเติบโตเป็นอันดับต้นๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และเป็นฐานที่ตั้งของโรงงานผลิตเครื่องดื่มที่ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในโรงงานภายใต้หลังคาเดียว (single plant) ของเป๊ปซี่โคที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยขณะนี้ บริษัทฯ ได้เดินหน้าลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปตามแผนการลงทุนระยะยาว 3 ปี (พ.ศ. 2555-2558) ที่มีมูลค่ารวมถึง 18,400 ล้านบาท (หรือ 600 ล้านเหรียญสหรัฐ)
โดยบริษัทมองว่าผลิตภัณฑ์ของเป๊ปซี่โคยังได้รับความนิยมและเป็นที่ต้องการอย่างมากสำหรับตลาดประเทศไทยและมีแนวโน้มการเติบโตเพิ่มสูงขึ้นในระยะยาว ดังนั้นบริษัทจึงได้เดินหน้าขยายกำลังการผลิตอย่างเต็มสูบ ทั้งในส่วนที่ได้เพิ่มไลน์การผลิตของโรงงานเครื่องดื่มภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ.ระยอง รวมทั้งการตั้งโรงงานผลิตขนมขบเคี้ยวแห่งที่สอง ณ นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ จ.พระนครศรีอยุธยา
ด้านนางสาวมุกดา ไพรัชเวทย์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจอาหารและขนมขบเคี้ยว บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทถือครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับหนึ่งทั้งในตลาดมันฝรั่งทอดกรอบและตลาดขนมขึ้นรูป ซึ่งตลาดยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก จึงได้ตัดสินใจขยายกำลังการผลิต (ภายใต้แผนการลงทุนระยะยาว 3 ปี) โดยตั้งโรงงานผลิตขนมขบเคี้ยวแห่งที่สองบนพื้นที่ 50 ไร่ภายในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ จ.พระนครศรีอยุธยา มีมูลค่าการลงทุนรวม 2,387 พันล้านบาท ซึ่งโรงงานดังกล่าวมีแผนที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 2557 มีกำลังการผลิตสูงสุดถึง 22,000 ตันต่อปี ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตขนมขบเคี้ยวในประเทศของเป๊ปซี่โคได้ถึง 49%
จากปัจจุบันตลาดขนมขบเคี้ยวมีมูลค่ารวมเกือบ 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 1. ตลาดมันฝรั่งทอด 31% ซึ่งเลย์เป็นเจ้าตลาดด้วยส่วนแบ่งกว่า 75% 2. ตลาดขนมขึ้นรูป 31% ซึ่งมีแบรนด์ตะวันเป็นผู้นำตลาดด้วยแชร์ 13.1% รองลงมาคือ คอนเน่ 8.2% อันดับ 3 คือ Jaxx 6.3% 3. ตลาดถั่ว 10% 4. ปลาหมึก 10% และ 5. อื่นๆ รวมกัน 18% ทั้งนี้ ภาพรวมรายได้ของกลุ่มธุรกิจอาหารและขนมขบเคี้ยวของเป๊ปซี่-โคล่า มีอัตราการเติบโตรวมทุกปี หรือเติบโตปีละไม่ต่ำกว่า 5-7%
อย่างไรก็ตาม ปีนี้ถือเป็นปีแรกที่กลุ่มเครื่องดื่มและธุรกิจอาหารและขนมขบเคี้ยวของเป๊ปซี่-โคล่าจะผนึกกำลังทำการตลาดไปด้วยกัน เชื่อว่าจะเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ทั้งสองกลุ่มธุรกิจเติบโตทางด้านยอดขาย รวมถึงก้าวไปสู่เป้าหมายได้เร็วและแข็งแกร่งมากขึ้น