“ปตท.” โยนให้ภาครัฐชี้ขาดกรณีการนำเข้าแอลพีจีเพิ่มราว 4 หมื่นตันต่อเดือนหลังโรงแยกก๊าซฯ 5 ฟ้าผ่าว่ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะจ่ายหรือ ปตท.ต้องจ่าย รับทำประกันภัยไว้แต่ขอดูรายละเอียดว่าครอบคลุมรายจ่ายส่วนใดบ้าง
นายชาครีย์ บูรณกานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัทปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากกรณีที่โรงแยกก๊าซธรรมชาติระยองหน่วยที่ 5 ของ ปตท.โดนฟ้าผ่าเข้าที่สายล่อฟ้าในเวลา 0.34 น.ของคืนวันที่ 14 ส.ค. บนหอระบายความร้อน (stack) ที่เป็นจุดสูงสุดในพื้นที่โรงแยกก๊าซฯ ความสูง 135 เมตร ทำให้ปล่องระบายไอเสียของเครื่องยนต์ได้รับความเสียหายและส่งผลให้ต้องหยุดผลิตทันที และส่งผลให้ปริมาณแอลพีจีหายไปประมาณ 2,500 ตันต่อวัน หรือราว 70,000 ตันต่อเดือน โดยจากการหารือร่วมกับฝ่ายรัฐคาดว่าจะต้องนำเข้ามาแทน 40,000 ตัน ซึ่งการนำเข้าดังกล่าว ปตท.จะรับผิดชอบหรือไม่คงอยู่ที่นโยบายจากภาครัฐบาล
“การจ่ายเงินส่วนที่ต้องนำเข้าว่าจะเป็น ปตท.หรือไม่ หรือกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปกติจ่ายนำเข้าอยู่ในขณะนี้คงเป็นเรื่องนโยบายภาครัฐเพราะ ปตท.ไม่ได้เป็นผู้กำหนด ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นอุบัติเหตุ ปตท.เองได้ทำประกันภัยไว้แล้ว ส่วนจะครอบคลุมรายจ่ายส่วนไหนบ้าง พอหรือไม่ที่จะมาชดเชยส่วนที่ต้องนำเข้าก็ต้องขอดูรายละเอียดก่อน แต่ปกติประกันภัยมักจะครอบคลุมความเสียหายในตัวอุปกรณ์เป็นหลัก” นายชาคีย์กล่าว
สำหรับการหยุดซ่อมโรงแยกก๊าซฯ หน่วยที่ 5 คาดว่าเร็วสุดจะใช้เวลา 3 เดือน และช้าสุดภายใน 5 เดือน ขณะเดียวกัน ระหว่างนี้จะมีการสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาที่เกิดขึ้นอีกครั้งเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำอีก โดยระบบป้องกันที่ผ่านมายืนยันว่าเป็นไปตามมาตรฐานทางวิศวกรรมที่เมื่อฟ้าผ่าก็จะมีระบบตัดการทำงานทันที แต่ครั้งนี้ไม่แน่ใจว่าเพราะเหตุใดแต่คาดว่ามีการผ่าซ้ำแต่จะกี่ครั้งยังไม่เป็นที่แน่ชัด ซึ่งจากข้อมูลที่บันทึกพบว่ามีการผ่าหลายครั้งมากในบริเวณนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด
ทั้งนี้ ปตท.จะบริหารจัดการในการจัดหาและการผลิตอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้ใช้แอลพีจีเป็นเชื่อเพลิงในภาคครัวเรือน ภาคขนส่ง และภาคอุตสาหกรรม รวมถึงผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคไฟฟ้า ภาคอุตสาหกรรม และภาคขนส่งหรือ NGV แต่อย่างใด