“นิวัฒน์ธำรง” เผยทูตชิลีเข้าพบหารือลงนาม FTA ช่วงประธานาธิบดีชิลีเยือนไทย ต.ค.นี้ ไทยเตรียมใช้ชิลีเป็นประตูการค้าบุกละตินอเมริกา เผยหลังเปิดเสรีสินค้าร้อยละ 90 ภาษีเหลือ 0% ทันที สินค้าไทยมีโอกาสเจาะตลาดเพียบ รวมถึงเปิดตลาดข้าว นำเข้าวัตถุดิบ
นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลัง Mr. Javier Becker เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐชิลี เข้าพบว่า ได้ร่วมหารือเกี่ยวกับการลงนามความตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างไทย-ชิลี โดยฝ่ายชิลีแจ้งว่าประธานาธิบดีชิลีมีกำหนดจะเดินทางมาเยือนไทยระหว่างวันที่ 3-4 ต.ค. 2556 เพื่อเป็นสักขีพยานการลงนามความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทย-ชิลี ซึ่งความตกลงฯ ดังกล่าวชิลีให้ความสำคัญมาก เนื่องจากเห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพ และเป็นฐานการผลิตและการค้าของอาเซียน รวมทั้งไทยเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของชิลีในบรรดาสมาชิกอาเซียน โดยมีมูลค่าการค้าระหว่างกันประมาณ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
“ไทยเห็นว่าหากมีการลงนามความตกลง FTA ไทย-ชิลี จะทำให้การค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับชิลีเพิ่มมากขึ้น และไทยเองก็มีแผนที่จะให้การสนับสนุนและชักชวนนักธุรกิจไทยให้เข้าไปลงทุนในชิลี เพราะชิลีจะเป็นประตูการค้าสำคัญของไทยในการขยายตลาดในภูมิภาคละตินอเมริกา” นายนิวัฒน์ธำรงกล่าว
นายสมเกียรติ ตรีรัตนพันธ์ รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า ทันทีที่ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับ สินค้าชิลีและไทยอย่างน้อยร้อยละ 90 ของรายการสินค้าและมูลค่าการนำเข้าจะลดภาษีลงเหลือ 0% สำหรับสินค้าที่เหลืออีกร้อยละ 10 ของรายการสินค้าทั้งหมด ทั้งสองฝ่ายจะลดภาษีลงเป็นลำดับ โดยสินค้าที่คาดว่าไทยจะส่งออกได้เพิ่มขึ้น เช่น ยานยนต์ ปลาแปรรูป (ปลากระป๋อง) พอลิเมอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะปูนซีเมนต์ เม็ดพลาสติก ยางและผลิตภัณฑ์จากยาง และอัญมณี และยังได้ประโยชน์ในการนำเข้าวัตถุดิบ เช่น ทองแดง สินแร่เหล็ก และเยื่อกระดาษ
นอกจากนี้ ไทยจะได้ประโยชน์ในการเปิดตลาดข้าว เพราะชิลีจะทยอยลดภาษีจนเหลือ 0% ในปีที่ 5 ถือว่าเป็นการเปิดตลาดข้าวที่ดีที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับคู่เจรจาอื่นของชิลี เช่น มาเลเซีย ซึ่งชิลีไม่ลดภาษีข้าวในการเจรจา และเวียดนาม ที่ชิลีจะทยอยเปิดตลาดสินค้าข้าวภายใน 10 ปี ส่วนด้านการค้าบริการ ชิลีได้เปิดตลาดให้ไทยเข้าไปจัดตั้งกิจการร้านอาหารไทย สปา นวดแผนไทย การค้าส่ง ค้าปลีก วิศวกรรม สถาปัตยกรรม ก่อสร้าง ท่องเที่ยว กิจการโรงแรม เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในด้านการลงทุนจะมีการเจรจาภายใน 2 ปีนับจากความตกลงมีผลบังคับใช้
