“ศรีรัตน์”เรียกประชุมทูตพาณิชย์ประเมินเป้าส่งออกเดือนก.ย.นี้ เบื้องต้นยังยืนเป้า 7-7.5% พร้อมอัดมาตรการกระตุ้นส่งออกรอบทิศทางกว่า 200 กิจกรรมทำยอด พร้อมกำหนดแผนส่งออกปี 57 เน้นบุกเป็นรายประเทศ รายสินค้า
นางศรีรัตน์ รัษฐปานะ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ในเดือนก.ย.2556 กรมฯ จะเชิญผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (ทูตพาณิชย์) ที่ประจำอยู่ทั่วโลก 62 แห่ง มาประชุมเพื่อพิจารณาสถานการณ์การส่งออกสินค้าไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ และพิจารณากลยุทธ์และมาตรการในการผลักดันการส่งออก รวมทั้งรับฟังนโยบายการทำงานจากนายนิวัฒน์ธำรง บุญทางไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ซึ่งในเบื้องต้น ยังคงยืนยันเป้าหมายการส่งออกที่ตั้งไว้ 7-7.5% มูลค่า 2.45-2.46 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เพราะถือเป็นเป้าในการทำงานและช่วยในการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับภาคเอกชน
ทั้งนี้ ในช่วงที่เหลือของปีนี้ กรมฯ จะเร่งผลักดันการส่งออกให้มีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น โดยมีมาตรการกระตุ้นการส่งออกรอบทิศทาง ที่จะเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนส.ค.ไปจนถึงสิ้นปี มีกิจกรรมมากกว่า 200 กิจกรรมที่จะดำเนินการ เช่น การจัดไทยแลนด์ วีค โรดโชว์ การบุกเคาะประตูบ้าน การเชิญผู้ซื้อมาซื้อสินค้าถึงในไทย โดยเฉพาะผู้ซื้อรายใหญ่
นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะช่วยผลักดันให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (SMEs) มีการส่งออกได้เพิ่มขึ้น ผ่านโครงการ SMEs Proactive ที่ขณะนี้มีเงินอยู่ 300 ล้านบาทสำหรับใช้ 3 ปี โดยกรมฯ จะทำงานร่วมกับภาคเอกชนในการผลักดันให้ SMEs ส่งออก ซึ่งขอยืนยันว่า ทุกสมาคมที่มีอยู่ในประเทศไทยมีโอกาสที่จะขอสนับสนุนเงินช่วยเหลือเพื่อการส่งออก และพร้อมที่จะเพิ่มวงเงินช่วยเหลือ หากความต้องการมีมากขึ้น
ขณะเดียวกัน กรมฯ มีแผนที่จะเพิ่มช่องทางการส่งออกผ่านมาร์เก็ตติ้ง ออนไลน์ โดยเฉพาะการซื้อขายผ่านเว็บไซต์ www.thaitrade.com ซึ่งเป็นโอกาสใหม่ในการผลักดันการส่งออกให้กับสินค้าไทย โดยกรมฯ ตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนผู้ขายจาก 7,000 ราย เป็น 15,000 รายในปีนี้ และผลักดันให้ผู้ขายในเว็บไซต์มีการส่ออกได้มากกว่า 100 ราย
นางศรีรัตน์กล่าวว่า ในการประชุมทูตพาณิชย์ กรมฯ จะมีการวางแผนการทำงานเพื่อผลักดันการส่งออกสำหรับปี 2557 เพื่อผลักดันให้การส่งออกสินค้าไทยมีการขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยจะเน้นโฟกัสเป็นรายภูมิภาค รายประเทศ และรายสินค้าให้มากขึ้น มีประเทศเป้าหมายประมาณ 50 ประเทศ โดยจะให้ความสำคัญกับอาเซียนมากที่สุด รองลงมา คือ อาเซียนพลัส ซึ่งจะเน้นประเทศที่เป็นคู่เจรจาของอาเซียน ทั้งจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ รวมไปถึงตะวันออกกลาง แอฟริกาและยุโรปตะวันออก
“ในแต่ละภูมิภาค เราจะกำหนดเลยว่า เอาประเทศไหนบ้าง สินค้าอะไร เพราะเราคงเอาทุกประเทศไม่ได้ ต้องเลือกให้ชัดๆ ต้องดูความเป็นไปได้ ดูความเสี่ยง ถ้าประเทศไหนมีโอกาส ก็จะบุก โดยรัฐต้องเข้าไปบุกเบิกให้ก่อน ยิ่งถ้าเอกชนไม่กล้า เราต้องนำ ซึ่งการทำเช่นนี้ จะช่วยให้เราสามารถบุกเจาะตลาดได้ดีขึ้น ไม่เพียงแค่เพิ่มยอดการส่งออก แต่ยังเพิ่มช่องทางในการหาแหล่งวัตถุดิบด้วย”นางศรีรัตน์กล่าว