ตลาดชาเขียวไทยส่อระอุหลังเปิดเออีซี เหตุยักษ์จากจีนและเวียดนามจดจ้องบุกตลาดไทย “ตัน” แนะแบรนด์ชาเขียวไทยเร่งปรับตัวสร้างความพร้อม มั่นใจ “อิชิตัน” เข้าตลาดหุ้นปลายปีนี้ พร้อมเตรียมระดมทุน 5,000 ล้านบาท เสริมความแกร่ง
นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังคงดำเนินเรื่องการเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตามแผนเดิม คาดว่าจะเป็นช่วงปลายปีนี้ แม้ว่าขณะนี้จะมีปัญหาเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจไม่ค่อยดีก็ตาม แต่ว่าเราไม่ได้ทำธุรกิจแค่วันเดียว ทุกอย่างมาแล้วก็ไป ปัญหาการเมืองเป็นแบบนี้มาสิบปีแล้ว ทุกอย่างต้องมีทางออก ส่วนจะเลื่อนหรือไม่เลื่อนเข้าตลาดหุ้นนั้นก็อยู่ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. เพราะเรายื่นเรื่องให้กับ ก.ล.ต.หมดแล้ว
ทั้งนี้ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นแบบไฟลิ่ง เวอร์ชันแรกต่อ ก.ล.ต. เมื่อวันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา เพื่อขออนุญาตเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 300 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 1 บาท คิดเป็น 23.1% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ หลังจากนั้นจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมีบริษัทที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และมี บล.เอเซีย พลัส เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหลังจากเข้าตลาดหลักทัพย์ฯ แล้ว
นายตันกล่าวว่า คาดว่าจะต้องระดมทุนประมาณ 3-5,000 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจ เพิ่มกำลังผลิต ขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ ทำตลาดต่างๆ ซึ่งคาดว่าประมาณเดือนสามหรือเดือนสี่ปีหน้าน่าจะสรุปได้ว่าจะทำตลาดต่างประเทศที่ใดบ้างและรูปแบบใด ตอนนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับหลายรายในหลายประเทศ
ล่าสุดอยู่ระหว่างการลงทุนประมาณ 2,500 ล้านบาท ขยายกำลังผลิตที่โรงงานเดิมอีก 400 ล้านขวดต่อปี รวมของเดิมจะทำให้มีกำลังผลิต 1,000 ล้านขวดต่อปี เพื่อรองรับตลาดในประเทศและต่างประเทศหลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ในปี 2558 ซึ่งเมื่อเปิดเออีซีแล้วคาดว่าการแข่งขันเครื่องดื่มและทุกธุรกิจจะรุนแรงมากขึ้น
โดยเฉพาะตลาดชาเขียวที่ทุกแบรนด์ต้องสร้างความพร้อมและความแข็งแกร่งเอาไว้รับมือกับต่างประเทศ โดยเฉพาะผู้ประกอบการชาเขียวจากประเทศเวียดนาม และจีน ซึ่งเป็นตลาดที่น่ากลัวเป็นตลาดที่ใหญ่และมีแบรนด์ที่มีศักยภาพมากที่สนใจเข้ามาทำตลาดในไทย
ตลาดชาที่เวียดนามใหญ่มากกว่าไทยหลายเท่าและใหญ่กว่าตลาดน้ำอัดลมด้วย เวียดนามกับจีนมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ เพราะเขาขายมากกว่าไทยหลายเท่าตัว แต่เขาอาจจะมีต้นทุนด้านค่าขนส่งที่สูงถ้านำเข้ามาจำหน่าย แต่ถ้าเปิดเออีซีแล้ว ภาษีก็ไม่มี เขาอาจจะส่งเข้ามาขายหรือจ้างผลิตในไทยก็ได้
ขณะที่ประเทศไทย ตลาดน้ำอัดลมมีมูลค่า 40,000 กว่าล้านบาท ใหญ่กว่าตลาดชาเขียวที่ปีนี้คาดว่าจะมีมูลค่า 16,500 ล้านบาท เติบโต 25% จากปีที่แล้วมีมูลค่า 13,000 ล้านบาทเติบโต 39% แต่คาดว่าจะเติบโตถึง 20,000 ล้านบาทได้ในอีก 3 ปีจากนี้
ส่วนครึ่งปีแรกนี้ตลาดเติบโต 39% โดยอิชิตันมีส่วนแบ่งอันดับหนึ่งที่ 44% อันดับ 2 แชร์ 37% และอันดับ 3 แชร์ 9% ซึ่งอิชิตันตั้งเป้าสิ้นปีนี้จะมีแชร์ 40% กว่าๆ ใกล้เคียงกับอันดับที่ 2 ตั้งเป้ารายได้รวมไว้ที่ 4,500 ล้านบาท แต่คาดว่าจะทำได้เกินเป้าเป็น 6,000 ล้านบาท เพราะการเติบโตที่ดีจากแคมเปญที่จัดทำ
ล่าสุดทุ่มงบประมาณ 200 ล้านบาท จัดแคมเปญ “อิชิตันทัวร์ยกแก๊งฮอกไกโด ตอนรหัสช้อปเปรี้ยง 1 ล้านบาท” รางวัลที่ 1 คือ แพกเกจทัวร์ยกแก๊งๆ ละ 4 คน 5 วัน 3 คืน ที่ฮอกไกโด ญี่ปุ่น พร้อมบัตรกำนัลแก๊งละ 1 ล้านบาท รวม 30 รางวัล มูลค่ารางวัลละ 1,360,000 บาท รางวัลที่ 2 ทองคำมูลค่า 1 แสนบาท จำนวน 600 รางวัล ซึ่งถือเป็นแคมเปญที่มีการมอบรางวัลสูงที่สุดมากที่สุดในประเทศไทยก็ว่าได้