รอยเตอร์เปิดเผยผลสำรวจระบุว่า นักวิเคราะห์ได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์ ราคาทองและโลหะเงินประจำปีนี้ หลังจากราคาดิ่งลงอย่างรุนแรงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา และคาดว่าราคาทองและโลหะเงินจะยังคงอยู่ในระดับอ่อนแอต่อไปในปีหน้า ในขณะที่สหรัฐชะลอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
นักวิเคราะห์ในโพลล์ล่าสุดคาดว่า ราคาทองในตลาดสปอตอาจมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,410.75 ดอลลาร์/ออนซ์ในปีนี้ โดยดิ่งลง 13 % จากระดับ 1,627 ดอลลาร์ที่เคยคาดการณ์ในเดือน เม.ย.
รอยเตอร์จัดทำโพลล์นี้จากการสำรวจความเห็นเทรดเดอร์และนักวิเคราะห์ชั้นนำ 30 รายในเดือนก.ค. โดยผลสำรวจบ่งชี้ว่า การดิ่งลงของราคาทองในช่วงที่ผ่านมาอาจส่งผลให้ราคาทองแตะจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยราคาทองได้ลงไปแตะจุดต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปีที่ 1,180.71 ดอลลาร์/ออนซ์ในวันที่ 28 มิ.ย.
ราคาทองเคยขึ้นไปทำสถิติสูงสุดที่ 1,920.30 ดอลลาร์ในปี 2011 โดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เนื่องจากมาตรการดังกล่าวส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ และกระตุ้นความกังวลเรื่องภาวะเงินเฟ้อ อย่างไรก็ดี เฟดเริ่มส่ง สัญญาณบ่งชี้ว่า เฟดจะปรับลดขนาด QE ในอนาคต และสัญญาณดังกล่าวก็กดดันราคาทองให้ดิ่งลงมาแล้ว 21 % จากช่วงต้นปีนี้
โพลล์รอยเตอร์ในเดือนเม.ย.บ่งชี้ถึงการคาดการณ์ในทางลบต่อราคาทอง เพราะบ่งชี้ว่า ราคาเฉลี่ยของทองอาจลดลงจาก 1,668 ดอลลาร์ในปี 2012สู่ 1,627 ดอลลาร์ในปีนี้ ซึ่งจะถือเป็นการปรับลดลงเป็นปีแรกนับตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา
นายไมเคิล ลูว์อิส นักวิเคราะห์ของธนาคารดอยช์ แบงก์กล่าวว่า "ยังคงมีความต้องการซื้อทองในตลาดเอเชีย แต่นักลงทุนสถาบันในโลกตะวันตกสนใจลงทุนในตลาดอื่นๆมากกว่า โดยค่าดอลลาร์จะสร้างปัญหาให้กับทอง และการที่ เราคาดการณ์ตลาดหุ้นในทางบวก ก็จะเป็นการจำกัดเงินลงทุนที่ไหลเข้าสู่ทองด้วย"
นักวิเคราะห์ปรับลดตัวเลขคาดการณ์ราคาทองลง หลังจากราคาทองดิ่งลง 200 ดอลลาร์ภายในเวลา 2 วันในเดือนเม.ย. และรูดลง 200 ดอลลาร์ภายในเวลา 2 สัปดาห์ในเดือน มิ.ย.
อย่างไรก็ดี คาดว่าราคาทองอาจผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว และอาจมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,310 ดอลลาร์ในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งใกล้กับระดับปัจจุบัน นอกจากนี้ โพลล์ยังคาดว่า ราคาทองอาจมีีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,331 ดอลลาร์ในปี 2014
นายนิค บราวน์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยของธนาคารแนติซิส กล่าวว่า "เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลที่จะกล่าวว่า ราคาทองอยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้วในปัจจุบัน" "อย่างไรก็ดี ถ้าหากตลาดตราสารหนี้สหรัฐดิ่งลงอีกรอบโดยเป็นผลจาก การปรับลดขนาด QE หรือถ้าหากเศรษฐกิจสหรัฐเติบโตอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น และนักลงทุนเริ่มต้นโยกย้ายเงินลงทุนออกจากทองอีกครั้ง ราคาทองก็อาจจะร่วงลงไปได้อีก" นายบราวน์กล่าว
โพลล์คาดว่า ราคาเฉลี่ยของโลหะเงินในปีนี้อาจอยู่ที่ 23.82 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยลดลงจากระดับ 30.02 ดอลลาร์ที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือน เม.ย.
โพลล์ล่าสุดคาดว่า ราคาโลหะเงินอาจมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 20.50 ดอลลาร์ ในไตรมาส 3 และ 21.00 ดอลลาร์ในไตรมาส 4 ส่วนราคาโลหะเงิน ในปี 2014 อาจอยู่ที่ 21.78 ดอลลาร์ ซึ่งเท่ากับว่าราคาโลหะเงินปรับลดลงในปี 2014 เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน
ถึงแม้โลหะเงินมีฐานผู้ใช้ในภาคอุตสาหกรรมอยู่ในระดับสูง แต่การพุ่งขึ้น ของราคาโลหะเงินในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก็ได้รับแรงหนุนจากคำสั่งซื้อของนักลงทุนที่ซื้อโลหะเงินในฐานะทางเลือกหนึ่งที่ใช้แทนทอง
ราคาโลหะเงินดิ่งลงตามราคาทองในปีนี้ โดยราคาโลหะเงินรูดลงมาแล้ว 36 % จากช่วงต้นปีนี้ และมีแนวโน้มว่าอาจปิดตลาดปีนี้ด้วยการดิ่งลงรายปี ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่รอยเตอร์เริ่มจัดทำข้อมูลนี้ในปี 1982 เป็นต้นมา
ราคาโลหะเงินได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของราคาโลหะอุตสาหกรรมประเภทอื่นๆด้วย ในขณะที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างเฉื่อยชา
สัดส่วนของทอง/โลหะเงิน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ระบุว่าต้องใช้โลหะเงินจำนวนกี่ออนซ์ในการเข้าซื้อทอง 1 ออนซ์ พุ่งขึ้นแตะ 66.6 ในวันศุกร์ที่ผ่านมา และถือเป็นระดับสูงสุดนับตัั้งแต่เดือนส.ค. 2010
นายออยเกน ไวน์เบิร์ก นักวิเคราะห์ของธนาคารคอมเมอร์ซแบงก์กล่าวว่า "สัดส่วนทอง/โลหะเงินพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดในรอบหลายปี โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ที่อ่อนแอในโลหะเงิน ในส่วนของความต้องการซื้อโลหะเงินในฐานะโลหะอุตสาหกรรม และความต้องการซื้อโลหะเงินในฐานะเครื่องมือทำประกันความเสี่ยงด้านเงินทุนและเงินเฟ้อ"
(ข่าวจากสำนักข่าว รอยเตอร์)
T.Thammasak
นักวิเคราะห์ในโพลล์ล่าสุดคาดว่า ราคาทองในตลาดสปอตอาจมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,410.75 ดอลลาร์/ออนซ์ในปีนี้ โดยดิ่งลง 13 % จากระดับ 1,627 ดอลลาร์ที่เคยคาดการณ์ในเดือน เม.ย.
รอยเตอร์จัดทำโพลล์นี้จากการสำรวจความเห็นเทรดเดอร์และนักวิเคราะห์ชั้นนำ 30 รายในเดือนก.ค. โดยผลสำรวจบ่งชี้ว่า การดิ่งลงของราคาทองในช่วงที่ผ่านมาอาจส่งผลให้ราคาทองแตะจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยราคาทองได้ลงไปแตะจุดต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปีที่ 1,180.71 ดอลลาร์/ออนซ์ในวันที่ 28 มิ.ย.
ราคาทองเคยขึ้นไปทำสถิติสูงสุดที่ 1,920.30 ดอลลาร์ในปี 2011 โดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เนื่องจากมาตรการดังกล่าวส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ และกระตุ้นความกังวลเรื่องภาวะเงินเฟ้อ อย่างไรก็ดี เฟดเริ่มส่ง สัญญาณบ่งชี้ว่า เฟดจะปรับลดขนาด QE ในอนาคต และสัญญาณดังกล่าวก็กดดันราคาทองให้ดิ่งลงมาแล้ว 21 % จากช่วงต้นปีนี้
โพลล์รอยเตอร์ในเดือนเม.ย.บ่งชี้ถึงการคาดการณ์ในทางลบต่อราคาทอง เพราะบ่งชี้ว่า ราคาเฉลี่ยของทองอาจลดลงจาก 1,668 ดอลลาร์ในปี 2012สู่ 1,627 ดอลลาร์ในปีนี้ ซึ่งจะถือเป็นการปรับลดลงเป็นปีแรกนับตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา
นายไมเคิล ลูว์อิส นักวิเคราะห์ของธนาคารดอยช์ แบงก์กล่าวว่า "ยังคงมีความต้องการซื้อทองในตลาดเอเชีย แต่นักลงทุนสถาบันในโลกตะวันตกสนใจลงทุนในตลาดอื่นๆมากกว่า โดยค่าดอลลาร์จะสร้างปัญหาให้กับทอง และการที่ เราคาดการณ์ตลาดหุ้นในทางบวก ก็จะเป็นการจำกัดเงินลงทุนที่ไหลเข้าสู่ทองด้วย"
นักวิเคราะห์ปรับลดตัวเลขคาดการณ์ราคาทองลง หลังจากราคาทองดิ่งลง 200 ดอลลาร์ภายในเวลา 2 วันในเดือนเม.ย. และรูดลง 200 ดอลลาร์ภายในเวลา 2 สัปดาห์ในเดือน มิ.ย.
อย่างไรก็ดี คาดว่าราคาทองอาจผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว และอาจมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,310 ดอลลาร์ในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งใกล้กับระดับปัจจุบัน นอกจากนี้ โพลล์ยังคาดว่า ราคาทองอาจมีีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,331 ดอลลาร์ในปี 2014
นายนิค บราวน์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยของธนาคารแนติซิส กล่าวว่า "เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลที่จะกล่าวว่า ราคาทองอยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้วในปัจจุบัน" "อย่างไรก็ดี ถ้าหากตลาดตราสารหนี้สหรัฐดิ่งลงอีกรอบโดยเป็นผลจาก การปรับลดขนาด QE หรือถ้าหากเศรษฐกิจสหรัฐเติบโตอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น และนักลงทุนเริ่มต้นโยกย้ายเงินลงทุนออกจากทองอีกครั้ง ราคาทองก็อาจจะร่วงลงไปได้อีก" นายบราวน์กล่าว
โพลล์คาดว่า ราคาเฉลี่ยของโลหะเงินในปีนี้อาจอยู่ที่ 23.82 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยลดลงจากระดับ 30.02 ดอลลาร์ที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือน เม.ย.
โพลล์ล่าสุดคาดว่า ราคาโลหะเงินอาจมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 20.50 ดอลลาร์ ในไตรมาส 3 และ 21.00 ดอลลาร์ในไตรมาส 4 ส่วนราคาโลหะเงิน ในปี 2014 อาจอยู่ที่ 21.78 ดอลลาร์ ซึ่งเท่ากับว่าราคาโลหะเงินปรับลดลงในปี 2014 เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน
ถึงแม้โลหะเงินมีฐานผู้ใช้ในภาคอุตสาหกรรมอยู่ในระดับสูง แต่การพุ่งขึ้น ของราคาโลหะเงินในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก็ได้รับแรงหนุนจากคำสั่งซื้อของนักลงทุนที่ซื้อโลหะเงินในฐานะทางเลือกหนึ่งที่ใช้แทนทอง
ราคาโลหะเงินดิ่งลงตามราคาทองในปีนี้ โดยราคาโลหะเงินรูดลงมาแล้ว 36 % จากช่วงต้นปีนี้ และมีแนวโน้มว่าอาจปิดตลาดปีนี้ด้วยการดิ่งลงรายปี ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่รอยเตอร์เริ่มจัดทำข้อมูลนี้ในปี 1982 เป็นต้นมา
ราคาโลหะเงินได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของราคาโลหะอุตสาหกรรมประเภทอื่นๆด้วย ในขณะที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างเฉื่อยชา
สัดส่วนของทอง/โลหะเงิน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ระบุว่าต้องใช้โลหะเงินจำนวนกี่ออนซ์ในการเข้าซื้อทอง 1 ออนซ์ พุ่งขึ้นแตะ 66.6 ในวันศุกร์ที่ผ่านมา และถือเป็นระดับสูงสุดนับตัั้งแต่เดือนส.ค. 2010
นายออยเกน ไวน์เบิร์ก นักวิเคราะห์ของธนาคารคอมเมอร์ซแบงก์กล่าวว่า "สัดส่วนทอง/โลหะเงินพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดในรอบหลายปี โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ที่อ่อนแอในโลหะเงิน ในส่วนของความต้องการซื้อโลหะเงินในฐานะโลหะอุตสาหกรรม และความต้องการซื้อโลหะเงินในฐานะเครื่องมือทำประกันความเสี่ยงด้านเงินทุนและเงินเฟ้อ"
(ข่าวจากสำนักข่าว รอยเตอร์)
T.Thammasak