การบินไทยเตรียมประชุมร่วมบอร์ด-ฝ่ายบริหาร (เวิร์กชอป) ชำแหละแผนฟื้นฟูธุรกิจ ครึ่งปีหลัง 27ก.ค.นี้ก่อนนำไปปฏิบัติตั้งแต่ ส.ค.นี้ ตั้งเป็นปีับแผนการตลาด เพิ่มรายได้ช่วงหลัง พยุงรายได้ทัั้งปี หลังไตรมาส2/56 เจอค่าบาท อัตราแลกเปลี่ยน ราคาน้ำมันพุ่ง ลประกอบหารไม่เข้าเป้า ฉุดทั้งปีรายได้ทรุดตาม
นายอำพน กิตติอำพน ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ประชุมบอร์ดเมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมาได้รับทราบแผนฟื้นฟูบริษัทฯ ช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งนายโชคชัย ปัญญายงค์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสสายการพาณิชย์ (DN) ได้นำเสนอแผน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อคงรายได้ของปี 2556 ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยบอร์ดได้แสดงความคิดเห็นแล้ว และจะมีการหารือรายละเอียดของแผนในการประชุมเชิงปฏิบัติการ (เวิร์กชอป) ระหว่างบอร์ดกับผู้บริหารบริษัทในวันที่ 27 กรกฎาคมนี้ก่อนนำไปปฏิบัติตั้งต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป
ทั้งนี้ เนื่องจากช่วงไตรมาส 2/2556 (เม.ย.-มิ.ย.) บริษัทฯ ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เงินบาทแข็งค่า ทำให้ผลประกอบการต่ำกว่าคาด
สำหรับการประเมินการทำงานของนายสรจักร เกษมสุวรรณ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทยนั้น นายอำพนกล่าวว่า บอร์ดยังไม่มีการพิจารณาเนื่องจากคณะกรรมการประเมินที่มีนายอารีพงศ์ ภู่ชะอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง กรรมการบอร์ดบริษัทเป็นประธาน อยู่ระหว่างการรวบรวมตัวเลขทางบัญชีเกี่ยวกับผลการดำเนินงาน และคาดว่าจะเสนอผลการประเมินได้ในการประชุมบอร์ดเดือนหน้า
อย่างไรก็ตาม สำหรับแผนการตลาดเพื่อฟื้นฟูรายได้ช่วงครึ่งปีหลังนั้น ก่อนหน้านี้นายโชคชัยเคยระบุว่า ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทฯ ต้องปรับแผนกลยุทธ์การตลาดสร้างรายได้เพิ่มอีก 15% จากปีก่อน เพื่อให้สามารถคงเป้าหมายรายได้ปี 2556 ให้เติบโตที่ 11% และมีกำไรสุทธิประมาณ 6,000 ล้านบาท
“ช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ยอมรับว่าเราเจอผลกระทบเรื่องเงินบาทแข็งค่าอย่างหนัก โดยค่าเงินเยนกับเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลดลงประมาณ 17% ซึ่งมีรายได้จากสกุลเยน 20% เงินดอลลาร์สหรัญ 10% ขณะต้นทุนใหญ่ในการดำเนินงานคือน้ำมัน ซึ่งต้องใช้ดอลล์ลาร์ซื้อ ประกอบกับเป็นช่วง Low Season ด้วย Cabin Factor จึงต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ โดยเฉพาะเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แถมปลายปีจะมีสายการบินใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีกมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ได้วางแผนไว้ เราจึงต้องปรับแผนกลยุทธ์ใหม่ โดยตั้งเป้าต้องเพิ่มรายได้ครึ่งปีหลังอีก 15% จากปีก่อน เพื่อให้สามารถคงเป้าทั้งปีไว้ได้"