SPCG จับมือ กฟภ.เซ็น MOU ลุยพัฒนาระบบโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เอง “ผู้บริหารเอ็นคอม” มั่นใจช่วยประชาชนได้ประโยชน์พร้อมสนองนโยบายรัฐสร้างความมั่นคงพลังงาน “ซีอีโอ SPCG” พอใจช่วยไทยเป็นผู้นำอาเซียนด้านพลังงานโซลาร์เซลล์
วานนี้ (12 ก.ค.) ได้มีพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof) ระหว่างบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กับบริษัท โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟ จำกัด (SPR) บริษัทในเครือบริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน)
นายปัญญา เล่าชู รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า พีอีเอ เอ็นคอมฯ เป็นบริษัทในเครือของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) หรือ PEA ซึ่งดำเนินธุรกิจลงทุนด้านพลังงานไฟฟ้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นการลงทุนด้านพลังงานทดแทน ซึ่งพีอีเอ เอ็นคอมฯ เล็งเห็นว่าความร่วมมือกับ บริษัท โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟ จำกัด (SPR) ที่จะศึกษาความเป็นไปได้ในการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา การพัฒนาธุรกิจบริการพลังงาน หรือ ESCO ตลอดจนการศึกษาการจัดการระบบไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์
ทั้งนี้ นอกจากจะเป็นการช่วยลดต้นทุนแก่ผู้ใช้ไฟแล้ว ยังช่วยลดการขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าในช่วงที่มีการใช้ไฟสูงสุดหรือ Peak Load ได้อีกด้วย นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการส่งเสริมและผลักดันธุรกิจด้านพลังงานทดแทนในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาที่สามารถขยายผลในวงกว้างสู่ภาคครัวเรือนได้ เพื่อสร้างประโยชน์แก่ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้า และสนองตอบนโยบายของประเทศต่อไป
ขณะที่ น.ส.วันดี กุญชรยาคง ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG กล่าวว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจครั้งนี้เป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน ที่ต้องการสนับสนุนและส่งเสริมการแสวงหาพลังงานทดแทนมาใช้ประโยชน์ ซึ่งขณะนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างการมอบหมายให้หน่วยงานเกี่ยวข้องศึกษารายละเอียดทั้งหมดสำหรับเตรียมออกมาตรการภาษีและสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ติดตั้งตามนโยบาย ซึ่งนอกจากจะช่วยประเทศชาติลดการนำเข้าเชื้อเพลิงจากต่างประเทศแล้ว ยังเป็นการใช้พลังานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ประเทศชาติ
“ช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้เปิดตัวแคมเปญ “โซลาร์ รูฟ แบรนด์ แอมบาสซาเดอร์” เน้นติดตั้งโซลาร์รูฟภาคครัวเรือน จนถึงขณะนี้ได้รับความสนใจจากผู้มีชื่อเสียงของประเทศลงทะเบียนนำบ้านเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 500 หลัง และเรากำลังขยายตลาดเป้าหมายนอกจากครัวเรือนไปสู่ภาคอุตสาหกรรม อาทิ หลังคาโรงงานและหลังคาคลังสินค้าต่างๆ นับเป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่การใช้พลังทดแทน และเป็นการสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวสู่ความเป็นผู้นำชาติอาเซียนด้านการใช้ประโยชน์จากพลังงานแสงอาทิตย์”
น.ส.วันดีกล่าวว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจครั้งนี้เราจะร่วมมือกัน 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1. การพัฒนาโอกาสทางธุรกิจด้านการส่งเสริมให้ประชาชนติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา บ้าน อาคาร เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ 2. ส่งเสริมให้มีการบริหารจัดการระบบไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดต้นทุนให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าและลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงที่มีการใช้สูงสุด (Peak) เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนพลังงานและลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า และ 3. ร่วมกันพัฒนา ESCO : Energy Service Company เพื่อให้บริการเกี่ยวกับการพัฒนาโครงการอนุรักษ์พลังงานครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบ การอนุญาต การหาแหล่งทุน การติดตั้ง การตรวจวัดเพื่อประเมินผล การประหยัด และให้การรับประกันผลการประหยัดพลังงานอันจะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายอีกด้วย
วานนี้ (12 ก.ค.) ได้มีพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof) ระหว่างบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กับบริษัท โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟ จำกัด (SPR) บริษัทในเครือบริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน)
นายปัญญา เล่าชู รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า พีอีเอ เอ็นคอมฯ เป็นบริษัทในเครือของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) หรือ PEA ซึ่งดำเนินธุรกิจลงทุนด้านพลังงานไฟฟ้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นการลงทุนด้านพลังงานทดแทน ซึ่งพีอีเอ เอ็นคอมฯ เล็งเห็นว่าความร่วมมือกับ บริษัท โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟ จำกัด (SPR) ที่จะศึกษาความเป็นไปได้ในการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา การพัฒนาธุรกิจบริการพลังงาน หรือ ESCO ตลอดจนการศึกษาการจัดการระบบไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์
ทั้งนี้ นอกจากจะเป็นการช่วยลดต้นทุนแก่ผู้ใช้ไฟแล้ว ยังช่วยลดการขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าในช่วงที่มีการใช้ไฟสูงสุดหรือ Peak Load ได้อีกด้วย นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการส่งเสริมและผลักดันธุรกิจด้านพลังงานทดแทนในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาที่สามารถขยายผลในวงกว้างสู่ภาคครัวเรือนได้ เพื่อสร้างประโยชน์แก่ประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้า และสนองตอบนโยบายของประเทศต่อไป
ขณะที่ น.ส.วันดี กุญชรยาคง ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG กล่าวว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจครั้งนี้เป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน ที่ต้องการสนับสนุนและส่งเสริมการแสวงหาพลังงานทดแทนมาใช้ประโยชน์ ซึ่งขณะนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างการมอบหมายให้หน่วยงานเกี่ยวข้องศึกษารายละเอียดทั้งหมดสำหรับเตรียมออกมาตรการภาษีและสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ติดตั้งตามนโยบาย ซึ่งนอกจากจะช่วยประเทศชาติลดการนำเข้าเชื้อเพลิงจากต่างประเทศแล้ว ยังเป็นการใช้พลังานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ประเทศชาติ
“ช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้เปิดตัวแคมเปญ “โซลาร์ รูฟ แบรนด์ แอมบาสซาเดอร์” เน้นติดตั้งโซลาร์รูฟภาคครัวเรือน จนถึงขณะนี้ได้รับความสนใจจากผู้มีชื่อเสียงของประเทศลงทะเบียนนำบ้านเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 500 หลัง และเรากำลังขยายตลาดเป้าหมายนอกจากครัวเรือนไปสู่ภาคอุตสาหกรรม อาทิ หลังคาโรงงานและหลังคาคลังสินค้าต่างๆ นับเป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่การใช้พลังทดแทน และเป็นการสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวสู่ความเป็นผู้นำชาติอาเซียนด้านการใช้ประโยชน์จากพลังงานแสงอาทิตย์”
น.ส.วันดีกล่าวว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจครั้งนี้เราจะร่วมมือกัน 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1. การพัฒนาโอกาสทางธุรกิจด้านการส่งเสริมให้ประชาชนติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา บ้าน อาคาร เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ 2. ส่งเสริมให้มีการบริหารจัดการระบบไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดต้นทุนให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าและลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงที่มีการใช้สูงสุด (Peak) เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนพลังงานและลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า และ 3. ร่วมกันพัฒนา ESCO : Energy Service Company เพื่อให้บริการเกี่ยวกับการพัฒนาโครงการอนุรักษ์พลังงานครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบ การอนุญาต การหาแหล่งทุน การติดตั้ง การตรวจวัดเพื่อประเมินผล การประหยัด และให้การรับประกันผลการประหยัดพลังงานอันจะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายอีกด้วย