“ซีพีเมจิ” ไม่หวั่นรายใหญ่เอฟแอนด์เอ็นรุกตลาดนมในไทย ชูโมเดลที่สิงคโปร์สยบคู่แข่งราบคาบ แย็บหมัดเด็ดสยบคู่แข่ง เน้นกลุ่มพรีเมียมและขยายตลาดต่างประเทศ ล่าสุดเข้าฮ่องกง พร้อมเพิ่มกำลังผลิตอีกเท่าตัวรับตลาดโต
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดรวมนมพร้อมดื่มมีการแข่งขันที่รุนแรง แม้จะมีรายใหญ่อยู่เพียง 3-4 รายในตลาดรวมแข่งกันทั้งการออกรสชาติใหม่ การทำโปรโมชัน ส่งผลให้ตลาดรวมนมปีที่แล้วเติบโตอย่างมากประมาณ 18% จากเดิมโตเฉลี่ย 10% เท่านั้น มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท โดยแยกเป็นนมยูเอชที 12,000 ล้านบาท นมพาสเจอไรซ์ 5,500 ล้านบาท และที่เหลือเป็นอื่นๆ
แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะมีรายใหม่คือกลุ่มเอฟแอนด์เอ็นที่จะเข้าสู่ตลาดนมพร้อมดื่มในไทยนั้น บริษัทฯ ไม่มีความกังวล เนื่องจากการทำตลาดนมในไทยนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งซีพีเมจิก็มีประสบการณ์ทำตลาดในสิงคโปร์ซึ่งถือเป็นตลาดนมที่ใหญ่มีแบรนด์ระดับโลกทำตลาดหลายแบรนด์ ซึ่งซีพีเมจิกลับเป็นผู้นำตลาดมีส่วนแบ่งมากถึง 39% แต่เอฟแอนด์เอ็นมี 3 แบรนด์รวมกันแชร์ยังไม่ถึง 30% เลย และคนไทยทั่วไปก็แทบจะไม่มีใครรู้ด้วยว่าเอฟแอนด์เอ็นทำสินค้านมด้วย นอกจากคนในวงการ
อีกทั้งตลาดในไทยยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากว่าคนไทยยังมีปริมาณการบริโภคนมน้อยมาก คือประมาณ 14 ลิตรต่อคนต่อปีเท่านั้นเอง ขณะที่ประเทศญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย ที่ดื่มเฉลี่ย 50 ลิตรต่อคนต่อปี ส่วนคนยุโรปเฉลี่ย 70 ลิตรต่อคนต่อปี และอเมริกามากถึง 120 ลิตรต่อคนต่อปี จึงยังมีช่องว่างให้ทำตลาดอีก
สำหรับแผนรุกตลาดของซีพีเมจิจากนี้จะเน้นกลยุทธ์หลัก คือ 1. การเน้นตลาดระดับบนหรือพรีเมียม ซึ่งเป็นกลุ่มที่เติบโตดี ขณะที่กลุ่มแมสนั้นโตทรงตัวแล้ว โดยล่าสุดได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่กลุ่มนมพิเศษเมจิโกลด์เลิฟ เป็นนมพาสเจอไรซ์ไขมันต่ำ เจาะผู้หญิงที่มีความต้องการและความกังวลสุขภาพต่างกัน ราคาสูงกว่าทั่วไป คือ ขนาด 200 ซีซี 14 บาท และขนาด 946 ซีซี ราคา 50 กว่าบาท โดยใช้งบตลาด 60 ล้านบาท และจะออกสินค้าใหม่ต่อเนื่องอย่างต่ำ 3-4 ตัวในทุกกลุ่ม
2. การรุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น หลังจากที่ทำที่สิงคโปร์เป็นประเทศแรกเมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมาประสบความสำเร็จอย่างดี ล่าสุดขยายเข้าตลาดฮ่องกงเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สามารถวางขายในร้านปาร์กแอนด์ชอปได้แล้ว โดยทางซีพีเอฟที่มีสำนักงานที่ฮ่องกงเป็นผู้รับผิดชอบกระจายสินค้าและจำหน่ายให้ ล่าสุดได้ขยายเข้าสู่ร้านเชนสตาร์บัคส์ในฮ่องกงอีกด้วยมากกว่า 70 สาขาจากทั้งหมดกว่า 140 สาขาที่ฮ่องกง ตั้งเป้าเป็นผู้นำในตลาดฮ่องกงภายใน 5 ปีจากนี้ โดยนำนมจืดพาสเจอไรซ์เปิดตลาด
ส่วนตลาดต่อไปก็จะเน้นในเอเชียก่อน เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย ซึ่งต่างประเทศเป็นตลาดที่ดี และซีพีเมจิมีความมั่นใจเนื่องจากประสบความสำเร็จอย่างดีในตลาดสิงคโปร์มาแล้วที่เรียกได้ว่าเป็นตลาดรายใหญ่ระดับโลกแข่งขันกันมากที่สุด อีกทั้งตลาดต่างประเทศทำราคาจำหน่ายได้ดีกว่าตลาดเมืองไทยด้วย ทำให้โอกาสในการสร้างยอดขายเติบโตมีมากกว่า เช่น ในขนาดเดียวกันเมืองไทยขายแค่ 40-50 บาท แต่ที่ฮ่องกงกับสิงคโปร์ขายได้มากกว่า 80 บาท
นายประสิทธิ์กล่าวต่อว่า ในเดือนสิงหาคมนี้จะติดตั้งเครื่องจักรใหม่เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตในโรงงานเดิมที่สระบุรี หลังจากที่ลงทุนต่อเนื่องไปกว่า 3,000 ล้านบาทแล้ว จะเพิ่มกำลังผลิตอีกเท่าตัว จากเดิมที่มีกำลังผลิตรวมกว่า 140,000 ตันต่อปี ซึ่งโรงงานในไทยถือว่าเป็นโรงงานที่สมบูรณ์และทันสมัยที่สุดของกลุ่มซีพีเมจิทั่วโลก
สำหรับปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้รวมเติบโต 12% จากปีที่แล้วที่มีรายได้รวม 5,200 ล้านบาท ขณะที่ปีที่แล้วเติบโต 22% จากที่ตั้งเป้าไว้เพียง 15% เท่านั้นเอง ส่วนตลาดรวมปีนี้คาดว่าจะเติบโต 8-10% ขณะที่ปีที่แล้วตลาดรวมเติบโต 18% ส่วนครึ่งปีแรกนี้ตลาดรวมเติบโต 7-8% ใกล้เคียงกับบริษัทฯ ที่เติบโต 8-9% ต่ำกว่าเป้าหมายเล็กน้อย โดยมีส่วนแบ่งในตลาดประมาณ 55% และตั้งเป้าหมายสิ้นปีนี้เพิ่มส่วนแบ่งตลาดเป็น 60%