“วิชา” หัวเรือใหญ่ รุกธุรกิจฟิตเนส ปีแรกทุ่ม 320 ล้านบาทผุด “วีฟิตเนสโซไซตี้” 4 สาขารวด เสียบแทนพื้นที่แคลิฟอร์เนียว้าวที่มีปัญหา ด้าน “เมเจอร์กรุ้ป” เล็งปรับเป้ารายได้ทั้งปีเพิ่มเป็น 30%
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้ขยายธุรกิจฟิตเนสในชื่อว่า “วี ฟิตเนส โซไซตี้” ซึ่งธุรกิจนี้เป็นการลงทุนในนามส่วนตัวเท่านั้นเพราะมองว่าธุรกิจฟิตเนสถือเป็นเทรนด์ของโลกซึ่งผู้คนหันมาเอาใจใส่รักษาสุขภาพและออกกำลังกายกันมากขึ้น อีกทั้งจะเอื้อต่อธุรกิจโรงหนังด้วยเพราะจะดึงคนเข้ามาใช้บริการกันมากขึ้น เนื่องจากฟิตเนส 1 สาขา สามารถรองรับปริมาณคนที่หมุนเวียนเข้ามาไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคนต่อปี ขณะเดียวกันมีความมั่นใจด้วยว่า การที่เจ้าของฟิตเนสเป็นคนไทยเองจะสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคมากขึ้นกว่าการที่คนต่างชาติเป็นเจ้าของเหมือนในอดีต
สำหรับวีฟิตเนส โซไซตี้ ในปีแรกจะใช้งบลงทุนรวมประมาณ 280-320 ล้านบาทเพื่อเปิดสาขาใหม่ 4 สาขา ลงทุนเฉลี่ย 70-80 ล้านบาทต่อสาขา ทำเลหลักที่จะเปิดคือ การเข้าไปแทนที่ทำเลเดิมของสาขาแคลิฟอร์เนียว้าวเดิมทั้งหมด คือสาขาแรกที่จะเปิดที่เมเจอร์รัชโยธินเดือนสิงหาคมนี้ ส่วนที่เหลือ 3 แห่งจะเป็นสาขาเมเจอร์ฯ ปิ่นเกล้า, เอกมัย และเอสพลานาด รัชดาฯ เป็นต้น โดยกลยุทธ์การทำตลาดจะทำสัญญาการทำสมาชิกเบื้องต้นจะไม่เกิน 1 ปี ขณะที่อัตราค่าบริการจะเท่ากับตลาด
นายวิชากล่าวถึงธุรกิจหนังว่า ปีนี้บริษัทฯ อาจจะทำการปรับเป้าหมายอัตราการเติบโตของรายได้ของบริษัทฯ ใหม่ จากเดิมที่คาดว่าทั้งปีนี้จะเติบโต 15% แต่คาดว่าจะปรับเพิ่มเป็น 25-30% เช่นเดียวกับการเติบโตของตลาดรวมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่คาดว่าตลาดรวมปีนี้จะมีประมาณ 5,500-6,000 ล้านบาท
เนื่องจากช่วงครึ่งปีแรกนี้ตลาดรวมเติบโตในทิศทางที่ดีไม่ต่ำกว่า 30% จากเดิมคาดโตเพียง 15% เนื่องจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ 1. จำนวนโรงหนังในตลาดรวมเพิ่มขึ้น โดยในส่วนของเมเจอร์ฯ เองปัจจุบันมีมากถึง 437 โรง จากปลายปีที่แล้วที่มีเพียง 390 โรง และคาดว่าสิ้นปีนี้จะเพิ่มเป็น 500 โรง โดยเฉพาะการเติบโตและการขยายตัวของโรงหนังในต่างจังหวัดที่ยอดขายดีขึ้นมาก
ปัจจุบันเมเจอร์ฯ มีโรงหนังทั่วประเทศจำนวน 33 จังหวัด รวมมากกว่า 62 สาขา ซึ่งจังหวัดที่มีพื้นที่ไม่มากอย่าง หนองบัวลำภู ก็เปิดเมเจอร์ฯ แล้ว ดังนั้นคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่เมเจอร์ฯ จะขยายสาขาครอบคลุมได้ทุกจังหวัด
อีกปัจจัยคือ หน้าหนังของครึ่งปีแรกที่ดีมากและครึ่งปีหลังที่จะมีหนังฟอร์มใหญ่เข้าโรงอีกเป็นจำนวนมาก บวกกับระบบโรงหนังเป็นดิจิตอลด้วยแล้ว ซึ่งในส่วนของเมเจอร์ฯ เองนั้นเป็นดิจิตอลมากกว่า 90% แล้วจะยิ่งทำให้ดึงดูดคนมาชมหนังในโรงหนังมากขึ้นด้วย ซึ่งครึ่งปีหลังจะมีหนังดังอย่าง ฮังเกอร์เกมส์ ภาค 2, รวมถึงต้มยำกุ้ง ภาค 2, Pacific Rim และยังจะมีหนังไทยของค่ายจีทีเอช 1-2 เรื่อง และเอ็ม 39 อีก 2-3 เรื่อง เข้าฉายด้วยเช่นกัน
ส่วนแผนรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีในปี 2558 นายวิชากล่าวว่า เบื้องต้นจะขยายสาขาไปยังกลุ่มศูนย์การค้าหรือพวกค้าปลีก ซึ่งประเทศแรกที่ไปคือ กัมพูชา จะไปเปิดในศูนย์การค้าของกลุ่มอิออนในกรุงพนมเปญ ประกอบด้วย โรงหนัง 7 โรง และโบว์ลิ่ง 6 เลน คาดว่าจะเปิดบริการปลายปีหน้า ขณะนี้ตัวศูนย์การค้าก่อสร้างถึงชั้นที่ 4 แล้ว
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้ขยายธุรกิจฟิตเนสในชื่อว่า “วี ฟิตเนส โซไซตี้” ซึ่งธุรกิจนี้เป็นการลงทุนในนามส่วนตัวเท่านั้นเพราะมองว่าธุรกิจฟิตเนสถือเป็นเทรนด์ของโลกซึ่งผู้คนหันมาเอาใจใส่รักษาสุขภาพและออกกำลังกายกันมากขึ้น อีกทั้งจะเอื้อต่อธุรกิจโรงหนังด้วยเพราะจะดึงคนเข้ามาใช้บริการกันมากขึ้น เนื่องจากฟิตเนส 1 สาขา สามารถรองรับปริมาณคนที่หมุนเวียนเข้ามาไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคนต่อปี ขณะเดียวกันมีความมั่นใจด้วยว่า การที่เจ้าของฟิตเนสเป็นคนไทยเองจะสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคมากขึ้นกว่าการที่คนต่างชาติเป็นเจ้าของเหมือนในอดีต
สำหรับวีฟิตเนส โซไซตี้ ในปีแรกจะใช้งบลงทุนรวมประมาณ 280-320 ล้านบาทเพื่อเปิดสาขาใหม่ 4 สาขา ลงทุนเฉลี่ย 70-80 ล้านบาทต่อสาขา ทำเลหลักที่จะเปิดคือ การเข้าไปแทนที่ทำเลเดิมของสาขาแคลิฟอร์เนียว้าวเดิมทั้งหมด คือสาขาแรกที่จะเปิดที่เมเจอร์รัชโยธินเดือนสิงหาคมนี้ ส่วนที่เหลือ 3 แห่งจะเป็นสาขาเมเจอร์ฯ ปิ่นเกล้า, เอกมัย และเอสพลานาด รัชดาฯ เป็นต้น โดยกลยุทธ์การทำตลาดจะทำสัญญาการทำสมาชิกเบื้องต้นจะไม่เกิน 1 ปี ขณะที่อัตราค่าบริการจะเท่ากับตลาด
นายวิชากล่าวถึงธุรกิจหนังว่า ปีนี้บริษัทฯ อาจจะทำการปรับเป้าหมายอัตราการเติบโตของรายได้ของบริษัทฯ ใหม่ จากเดิมที่คาดว่าทั้งปีนี้จะเติบโต 15% แต่คาดว่าจะปรับเพิ่มเป็น 25-30% เช่นเดียวกับการเติบโตของตลาดรวมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่คาดว่าตลาดรวมปีนี้จะมีประมาณ 5,500-6,000 ล้านบาท
เนื่องจากช่วงครึ่งปีแรกนี้ตลาดรวมเติบโตในทิศทางที่ดีไม่ต่ำกว่า 30% จากเดิมคาดโตเพียง 15% เนื่องจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ 1. จำนวนโรงหนังในตลาดรวมเพิ่มขึ้น โดยในส่วนของเมเจอร์ฯ เองปัจจุบันมีมากถึง 437 โรง จากปลายปีที่แล้วที่มีเพียง 390 โรง และคาดว่าสิ้นปีนี้จะเพิ่มเป็น 500 โรง โดยเฉพาะการเติบโตและการขยายตัวของโรงหนังในต่างจังหวัดที่ยอดขายดีขึ้นมาก
ปัจจุบันเมเจอร์ฯ มีโรงหนังทั่วประเทศจำนวน 33 จังหวัด รวมมากกว่า 62 สาขา ซึ่งจังหวัดที่มีพื้นที่ไม่มากอย่าง หนองบัวลำภู ก็เปิดเมเจอร์ฯ แล้ว ดังนั้นคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่เมเจอร์ฯ จะขยายสาขาครอบคลุมได้ทุกจังหวัด
อีกปัจจัยคือ หน้าหนังของครึ่งปีแรกที่ดีมากและครึ่งปีหลังที่จะมีหนังฟอร์มใหญ่เข้าโรงอีกเป็นจำนวนมาก บวกกับระบบโรงหนังเป็นดิจิตอลด้วยแล้ว ซึ่งในส่วนของเมเจอร์ฯ เองนั้นเป็นดิจิตอลมากกว่า 90% แล้วจะยิ่งทำให้ดึงดูดคนมาชมหนังในโรงหนังมากขึ้นด้วย ซึ่งครึ่งปีหลังจะมีหนังดังอย่าง ฮังเกอร์เกมส์ ภาค 2, รวมถึงต้มยำกุ้ง ภาค 2, Pacific Rim และยังจะมีหนังไทยของค่ายจีทีเอช 1-2 เรื่อง และเอ็ม 39 อีก 2-3 เรื่อง เข้าฉายด้วยเช่นกัน
ส่วนแผนรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีในปี 2558 นายวิชากล่าวว่า เบื้องต้นจะขยายสาขาไปยังกลุ่มศูนย์การค้าหรือพวกค้าปลีก ซึ่งประเทศแรกที่ไปคือ กัมพูชา จะไปเปิดในศูนย์การค้าของกลุ่มอิออนในกรุงพนมเปญ ประกอบด้วย โรงหนัง 7 โรง และโบว์ลิ่ง 6 เลน คาดว่าจะเปิดบริการปลายปีหน้า ขณะนี้ตัวศูนย์การค้าก่อสร้างถึงชั้นที่ 4 แล้ว