หมดยุคหนังไทยกลัวหนังเทศ “คู่กรรม-พี่มากพระโขนง” นำทัพหนังไทยทะลุ 100 ล้านรวม 15 เรื่องในปีนี้ เข้าโปรแกรมชนฮอลลีวูดคาดทั้งปีสัดส่วนหนังไทยทำรายได้สู่ 45%
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดภาพยนตร์ปีนีื้จะคาดเติบโต 20% หรือมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท สัดส่วนภาพยนตร์ต่างประเทศประมาณ 50-55% และภาพยนตร์ไทย 40-45% เพิ่มจากปีก่อนที่มีสัดส่วน 35%
รายได้จากภาพยนตร์ไทยสูงขึ้นมาจากจำนวนสาขาโรงภาพยนตร์ที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่นิยมดูภาพยนตร์ไทยมากกว่าภาพยนตร์ต่างประเทศ และภาพยนตร์ไทยมุ่งแข่งขันในเรื่องของคุณภาพไม่ว่าจะเป็นค่ายหนังเอ็ม 39 ปีนี้มี 6 เรื่องเป็นอย่างน้อย, จีทีเอช 4 เรื่อง รวมถึงทาเล้นท์วัน 2 เรื่อง ล้วนแต่มั่นใจว่าผลงานที่ออกมาจะต้องทำรายได้ 100 ล้านบาทขึ้นไป
ทั้งนี้ ภาพยนตร์ไทยปีนี้เชื่อว่าจะมีไม่ต่ำกว่า 60 เรื่อง คาดว่าจะมีภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้ทะลุ 100 ล้านบาท ไม่ต่ำกว่า 15 เรื่อง เช่น คู่กรรม ลงทุนราว 70 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้ไม่ต่ำกว่า 150 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีตำนานสมเด็จพระนเรศวร และต้มยำกุ้ง 2 ที่จะมีรายได้ทะลุ 100-150 ล้านบาทขึ้นไป ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปีนี้ภาพยนตร์ไทยจะมีรายได้เพิ่มสูงขึ้น
ส่วนภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากต่างประเทศนั้นยังมีอีกหลายเรื่องที่จะเข้าฉายในช่วงไตรมาส 2 นี้ เช่น ไอรอนแมน 3, ฟาสต์ 6 เป็นต้น คาดว่าจะทำเงินสูงถึง 250 ล้านบาทขึ้นไป
“ปีนี้ภาพยนตร์ไทยพร้อมเข้าฉายในช่วงหน้าร้อนชนกับภาพยนตร์ต่างประเทศฟอร์มยักษ์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพี่มากพระโขนง และคู่กรรม ที่เข้าฉายในช่วงเวลาเดียวกับ จีไอโจ 2 เป็นต้น ถือเป็นปรากฏการณ์สำคัญให้ภาพยนตร์ไทยไม่กลัวภาพยนตร์ต่างประเทศอีกต่อไป จากที่ผ่านมาจะต้องหลีกทางให้ภาพยนตร์ฮอลลีวูดเข้าฉายก่อน หรือถ้าเป็นภาพยนตร์ไทยด้วยกันเองก็จะเว้นระยะเวลาการเข้าฉายนานหน่อย แต่ปัจจุบันห่างกันเพียงสัปดาห์เดียว”
นอกจากนี้ รายได้โฆษณาในโรงภาพยนตร์ยังเติบโตด้วย ซึ่งเรตราคาจะคิดตามอายส์บอลเป็นหลัก ดังนั้นหากภาพยนตร์เรื่องใดที่คาดการณ์ว่าจะทำเงินสูงก็จะมีรายได้โฆษณาสูงขึ้นตามไปด้วย เช่น “คู่กรรม” เวลาโฆษณาถูกจองเต็มหมดแล้ว เบื้องต้นจากที่ตั้งเป้ารายได้ที่ 150 ล้านบาท เท่ากับมีจำนวนผู้ชมราว 1.5 ล้านคน จากราคาบัตรเฉลี่ยที่ 150 บาทต่อที่นั่ง ส่งผลให้เรตโฆษณาอยู่ที่ 1.5 ล้านบาทต่อ 30 วินาที เป็นต้น ทั้งนี้เชื่อว่าในไตรมาสสองนี้ รายได้จากการลงโฆษณาในโรงภาพยนตร์ทั้งในภาพรวมตลาดและของบริษัทน่าจะเติบโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 20%
ขณะที่ไตรมาส 1 ตลาดภาพยนตร์เติบโต 10% โดยภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุด คือ ดายฮาร์ด ทำรายได้ถึง 75 ล้านบาท ตามมาด้วย แจ็ค เดอะ ไจแอนท์ คิลเลอร์ ทำรายได้ 70 ล้านบาท
นายวิชากล่าวต่อว่า เมเจอร์พร้อมขยายสาขาต่อเนื่องโดยเฉพาะในต่างจังหวัด จากปัจจุบันครอบคลุมกว่า 30 จังหวัด หรือมีโรงภาพยนตร์ราว 430-440 โรงทั่วประเทศ ถึงสิ้นปีนี้จะขยายให้ได้ 500 โรง
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดภาพยนตร์ปีนีื้จะคาดเติบโต 20% หรือมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท สัดส่วนภาพยนตร์ต่างประเทศประมาณ 50-55% และภาพยนตร์ไทย 40-45% เพิ่มจากปีก่อนที่มีสัดส่วน 35%
รายได้จากภาพยนตร์ไทยสูงขึ้นมาจากจำนวนสาขาโรงภาพยนตร์ที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่นิยมดูภาพยนตร์ไทยมากกว่าภาพยนตร์ต่างประเทศ และภาพยนตร์ไทยมุ่งแข่งขันในเรื่องของคุณภาพไม่ว่าจะเป็นค่ายหนังเอ็ม 39 ปีนี้มี 6 เรื่องเป็นอย่างน้อย, จีทีเอช 4 เรื่อง รวมถึงทาเล้นท์วัน 2 เรื่อง ล้วนแต่มั่นใจว่าผลงานที่ออกมาจะต้องทำรายได้ 100 ล้านบาทขึ้นไป
ทั้งนี้ ภาพยนตร์ไทยปีนี้เชื่อว่าจะมีไม่ต่ำกว่า 60 เรื่อง คาดว่าจะมีภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้ทะลุ 100 ล้านบาท ไม่ต่ำกว่า 15 เรื่อง เช่น คู่กรรม ลงทุนราว 70 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้ไม่ต่ำกว่า 150 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีตำนานสมเด็จพระนเรศวร และต้มยำกุ้ง 2 ที่จะมีรายได้ทะลุ 100-150 ล้านบาทขึ้นไป ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปีนี้ภาพยนตร์ไทยจะมีรายได้เพิ่มสูงขึ้น
ส่วนภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากต่างประเทศนั้นยังมีอีกหลายเรื่องที่จะเข้าฉายในช่วงไตรมาส 2 นี้ เช่น ไอรอนแมน 3, ฟาสต์ 6 เป็นต้น คาดว่าจะทำเงินสูงถึง 250 ล้านบาทขึ้นไป
“ปีนี้ภาพยนตร์ไทยพร้อมเข้าฉายในช่วงหน้าร้อนชนกับภาพยนตร์ต่างประเทศฟอร์มยักษ์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพี่มากพระโขนง และคู่กรรม ที่เข้าฉายในช่วงเวลาเดียวกับ จีไอโจ 2 เป็นต้น ถือเป็นปรากฏการณ์สำคัญให้ภาพยนตร์ไทยไม่กลัวภาพยนตร์ต่างประเทศอีกต่อไป จากที่ผ่านมาจะต้องหลีกทางให้ภาพยนตร์ฮอลลีวูดเข้าฉายก่อน หรือถ้าเป็นภาพยนตร์ไทยด้วยกันเองก็จะเว้นระยะเวลาการเข้าฉายนานหน่อย แต่ปัจจุบันห่างกันเพียงสัปดาห์เดียว”
นอกจากนี้ รายได้โฆษณาในโรงภาพยนตร์ยังเติบโตด้วย ซึ่งเรตราคาจะคิดตามอายส์บอลเป็นหลัก ดังนั้นหากภาพยนตร์เรื่องใดที่คาดการณ์ว่าจะทำเงินสูงก็จะมีรายได้โฆษณาสูงขึ้นตามไปด้วย เช่น “คู่กรรม” เวลาโฆษณาถูกจองเต็มหมดแล้ว เบื้องต้นจากที่ตั้งเป้ารายได้ที่ 150 ล้านบาท เท่ากับมีจำนวนผู้ชมราว 1.5 ล้านคน จากราคาบัตรเฉลี่ยที่ 150 บาทต่อที่นั่ง ส่งผลให้เรตโฆษณาอยู่ที่ 1.5 ล้านบาทต่อ 30 วินาที เป็นต้น ทั้งนี้เชื่อว่าในไตรมาสสองนี้ รายได้จากการลงโฆษณาในโรงภาพยนตร์ทั้งในภาพรวมตลาดและของบริษัทน่าจะเติบโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 20%
ขณะที่ไตรมาส 1 ตลาดภาพยนตร์เติบโต 10% โดยภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุด คือ ดายฮาร์ด ทำรายได้ถึง 75 ล้านบาท ตามมาด้วย แจ็ค เดอะ ไจแอนท์ คิลเลอร์ ทำรายได้ 70 ล้านบาท
นายวิชากล่าวต่อว่า เมเจอร์พร้อมขยายสาขาต่อเนื่องโดยเฉพาะในต่างจังหวัด จากปัจจุบันครอบคลุมกว่า 30 จังหวัด หรือมีโรงภาพยนตร์ราว 430-440 โรงทั่วประเทศ ถึงสิ้นปีนี้จะขยายให้ได้ 500 โรง