xs
xsm
sm
md
lg

“ชิคเก้นออฟเดอะซี” รุกโซเชียลมีเดีย ดันทูน่ากระป๋องลุ้นเพิ่มแชร์โลกสู่ 29.1%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

จอห์น ซอว์เยอร์ รองประธานกรรมการบริหารอาวุโส ฝ่ายขายและการตลาด ชิคเก้น ออฟ เดอะ ซี อินเตอร์เนชั่นแนล
“ชิคเก้น ออฟ เดอะ ซี” ปักหลักเร่งเครื่องชิงแชร์ตลาดโลกเพิ่มเป็น 29.1% จากเดิม 26.1% หวังเป็นลีดเดอร์ในตลาดทูน่ากระป๋องของโลก พร้อมเพิ่มแคมเปญตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย

นายจอห์น ซอว์เยอร์ รองประธานกรรมการบริหารอาวุโสฝ่ายขายและการตลาด ชิคเก้น ออฟ เดอะ ซี อินเตอร์เนชั่นแนล หนึ่งในกลุ่มบริษัท ไทย ยูนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ “ทียูเอฟ” เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทถือเป็นผู้ผลิตปลาทูน่าบรรจุกระป๋องรายใหญ่สุดของโลก และเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอาหารทะเลแช่แข็งรายใหญ่ของโลก โดยมีฐานการผลิตที่ประเทศไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส โปรตุเกส เซเชลส์ และกานา

ในส่วนของผลิตภัณฑ์ “ชิคเก้น ออฟ เดอะ ซี” ถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมและมียอดขายสูงสุดเป็นอันดับ 3 ในตลาดปลาทูน่าของสหรัฐอมริกา โดยบริษัทยังเป็นเจ้าของแบรนด์ชั้นนำระดับโลกคือ “Select ทูน่า” ผลิตภัณฑ์อันดับ 1 ในประเทศไทย “John West” อันดับ 1 ในประเทศอังกฤษ ไอร์แลนด์ และเนเธอร์แลนด์ ผลิตภัณฑ์ “Petit Navire” และ “Hyacinthe Parmentier” อันดับ 1 ในประเทศฝรั่งเศส “Century” อันดับ 1 ในประเทศจีน และ “Mareblu” อันดับ 3 ในประเทศอิตาลี

สำหรับตลาดสินค้ากลุ่มปลาทูน่า ปลาแซลมอน และแมคเคอเรล รวมถึงอาหารทะเลแช่แข็งอื่นๆ ของสหรัฐอเมริกาในปี 2555 มีการเติบโตลดลงประมาณ 15% มีมูลค่ารวมประมาณ 2.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยผลิตภัณฑ์ของชิคเก้น ออฟ เดอะ ซี มีส่วนแบ่ง 18.7% ขณะที่รายได้รวมของบริษัทในส่วนของอาหารกระป๋อง อาหารทะเลแช่แข็ง และอาหารสัตว์ มีประมาณ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นประมาณ 6%

ตลาดมีการเติบโตเพียง 5% และคาดว่าในปี 2556 ตลาดจะยังคงเติบโตเพียง 5% เช่นเดิม โดยในส่วนของรายได้จากอาหารกระป๋องมีมูลค่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีผลิตภัณฑ์ปลาแซลมอนเป็นอันดับหนึ่งด้วยสัดส่วน 23.5% ขณะที่สัดส่วนของปลาทูน่ามีประมาณ 19.3%

“ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของบริษัทถือเป็นที่รู้จักของผู้บริโภคและได้รับการยอมรับมากกว่า 50% ขณะที่มีการสร้างคุณค่าในตราสินค้าสูงถึง 99% จึงทำให้ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลกระป๋องของบริษัทมีสัดส่วนในตลาดโลกสูงถึง 26.1% ขณะที่ผู้นำตลาดมีสัดส่วน 29.1% บริษัทจึงมีเป้าหมายที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ขึ้นเป็นผู้นำตลาดในอนาคตอันใกล้”

ส่วนเป้าหมายทางการตลาดในปี 2556 คาดว่าผลิตภัณฑ์ชิคเก้น ออฟ เดอะ ซีจะมียอดขายเพิ่มขึ้นประมาณ 2% เนื่องจากมูลค่าของผลิตภัณฑ์มีราคาสูงขึ้น โดยในส่วนของอาหารกระป๋องน่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 8% บริษัทจึงจัดงบประมาณการตลาด 10% จากครึ่งหนึ่งของรายได้รวม 1 พันล้านเหรียญสหรัฐเพื่อสร้างความเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยจะเน้นการเพิ่มแคมเปญโฆษณาสื่อสารทาง Social Media ไปยังผู้บริโภค และมีการปรับเปลี่ยนแผนกลยุทธ์ต่างๆ อย่างเหมาะสม รวมถึงเพิ่มนวัตกรรมใหม่ๆ ให้ผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง


กำลังโหลดความคิดเห็น