ชาวนาจวกรัฐผิดสัญญา เตรียมยื่นหนังสือ “ปู” คงจำนำ 1.5 หมื่นบาททุกเมล็ดเหมือนเดิม ขู่ไม่ทำตามภายใน 1 สัปดาห์ขนม็อบขี่อีแต๋นบุกกรุง
นายวิเชียร พวงลำเจียก นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย เปิดเผยว่า สัปดาห์หน้าสมาคมฯ จะรวมตัวกับสมาคมส่งเสริมชาวนาและข้าวไทย และสภาเกษตรกร เดินทางไปยื่นหนังสือเปิดผนึกถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อขอให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ปรับลดราคารับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี 2556 จากตันละ 15,000 บาท เหลือ 12,000 บาท และกำหนดวงเงินการรับจำนำที่ 500,000 บาทต่อครัวเรือน โดยต้องการให้รัฐบาลกลับไปใช้เงื่อนไขการรับจำนำข้าวรูปแบบเดิม คือราคาตันละ 15,000 บาท และรับจำนำข้าวทุกเมล็ดไปจนสิ้นสุดฤดูกาลวันที่ 15 ก.ย. 2556
ทั้งนี้ หลังจากยื่นหนังสือแล้ว รัฐบาลไม่ทบทวนราคารับจำนำภายใน 1 สัปดาห์ พี่น้องเกษตรกรชาวนาทั่วประเทศจะใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญเพื่อคัดค้าน บางส่วนอาจนำรถไถ รถอีแต๋นเดินทางเข้ามากรุงเทพฯ เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วย ส่วนจะมีความรุนแรงแค่ไหนยังตอบไม่ได้ต้องติดตามดู แต่ระหว่างนี้หากรัฐบาลกลับไปจำนำเหมือนเดิมทุกอย่างก็จบ
นายวิเชียรกล่าวว่า การลดราคาจำนำระหว่างฤดูกาลเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ เพราะเหมือนรัฐบาลผิดคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ว่าจะรับจำนำทุกเมล็ดที่ตันละ 15,000 บาท และที่ผ่านมา แม้จะรับจำนำ 15,000 บาท เมื่อหักความชื้นแล้วเกษตรกรได้รับเงินจริงเพียง 11,000-12,000 บาท สูงกว่าต้นทุน 9,000 บาทเพียงเล็กน้อย ถ้ารัฐลดราคาจำนำลงรายได้ก็ยิ่งลดลง และขอยืนยันว่าโครงการจำนำมีประโยชน์ต่อเกษตรกร 93.7% รวมทั้งยังได้รับเงินผ่านบัญชีโดยตรงของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ไม่ได้มีการรั่วไหลอย่างที่บางฝ่ายออกมาโจมตี
ส่วนการรับจำนำข้าวเปลือกนาปีฤดูกาล 2556/57 ที่รัฐบาลจะปรับลดเพดานรับจำนำลง เรื่องนี้ต้องการให้รัฐบาลส่งตัวแทนมาชี้แจง รวมถึงให้มีตัวแทนเกษตรกรเข้าไปร่วมที่ประชุม กขช.เพื่อพิจารณาความเหมาะสมของราคาร่วมกันก่อน
ด้านนายสัตวแพทย์ชัย วัชรงค์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การเกษตร และที่ปรึกษาสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย กล่าวว่า ภาพรวมชาวนาส่วนใหญ่พอใจกับโครงการรับจำนำข้าวที่ตันละ 1.5 หมื่นบาท จึงเห็นว่ารัฐบาลไม่ควรลดราคารับจำนำข้าวลง แต่ควรจะใช้วิธีการลดปริมาณข้าวในตลาดลงประมาณ 30% ของปริมาณผลผลิตข้าวทั้งหมดแทนจะดีกว่า โดยใช้การทำโซนนิ่งในการกำหนดพื้นที่ปลูก ซึ่งนอกจากจะทำให้รัฐบาลมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการลดลงแล้ว ยังทำให้ราคาข้าวสารในตลาดดีขึ้นด้วย