ASTVผู้จัดการรายวัน - สยามแก๊สฯ เล็งเพิ่มทุนจดทะเบียนหากมีการซื้อกิจการใหม่เพิ่มเติมในอนาคต หลัง D/E พุ่ง 1.7 เท่า เผยรายได้ปีนี้โตขึ้น 15-20% ใกล้เคียงการเติบโตของปริมาณการขายก๊าซแอลพีจีที่คาดว่าแตะ 2.4 ล้านตัน และรับรู้รายได้จากธุรกิจก๊าซฯ ที่มาเลเซียอีก 2 พันล้านบาท ดันกำไรปีนี้ดีกว่าปี 55
นางจินตณา กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด จำกัด (มหาชน) (SGP) เปิดเผยว่า ขณะที่ฝ่ายบริหารบริษัทฯ ได้มีการพิจารณาเรื่องการเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัทฯ ในอนาคต เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทได้มีการลงทุนซื้อกิจการธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) ในต่างประเทศจำนวนมากทั้งเวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ และจีน โดยมีแหล่งเงินทุนมาจากกระแสเงินสดและการกู้ยืม รวมทั้งการทำธุรกิจค้าก๊าซฯ ในต่างประเทศทำให้มีหนี้ระยะสั้นสูง ส่งผลให้บริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 1.7 เท่า
หากบริษัทฯ มีการลงทุนใหม่เพิ่มเติมในอนาคต ก็มองช่องทางการเพิ่มทุนเป็นทางเลือกหนึ่งโดยจะพิจารณาดูเวลาที่เหมาะสม ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาซื้อธุรกิจแอลพีจีในเอเชียอีก 2 ราย หลังจากซื้อธุรกิจแอลพีจีจาก Shell Timur Sdn.Bhd. ในมาเลเซีย ทำให้เริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 2 นี้เป็นต้นไป
“จากการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อกิจการในต่างประเทศ รวมทั้งการทำธุรกิจค้าก๊าซแอลพีจีต่างประเทศด้วย ซึ่งใช้เงินซื้อก๊าซฯ แต่ละล็อตนับพันล้านบาทโดยการกู้เงินระยะสั้น ส่งผลให้D/E อยู่ที่ 1.7 เท่า ซึ่งปกติธุรกิจค้าก๊าซฯ จะมี D/E อยู่ที่ 2 เท่า ดังนั้น หากบริษัทฯ มีการซื้อกิจการเพิ่มเติมก็อาจจะกู้ไม่ไหว หรือมีกระแสเงินสดไม่เพียงพอ ก็คงต้องเพิ่มทุนจดทะเบียนฯ”
นางจินตณากล่าวต่อไปว่า ในปีนี้บริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้เติบโตขึ้นจากปีก่อน 15-20% มาที่ 6 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 4.77 หมื่นล้านบาท เนื่องจากปีนี้บริษัทรับรู้รายได้จากธุรกิจก๊าซแอลพีจีที่มาเลเซีย 2 พันล้านบาท และปีหน้าจะรับรู้ทั้งปีเพิ่มเป็น 3 พันล้านบาท และตัวเลขการขายก๊าซแอลพีจีในปีนี้อยู่ที่ 2.4 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มีปริมาณการขาย 2 ล้านตัน ซึ่งตลาดแอลพีจีในประเทศโตขึ้น 8% จากปีก่อน คาดว่าทั้งปีบริษัทฯ จะมีกำไรสุทธิเติบโตขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 817 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะซื้อก๊าซแอลพีจีจากผู้ผลิตโดยตรงจากกาตาร์ และดูไบ แทนการซื้อผ่านเทรดเดอร์ เนื่องจากมีราคาที่ถูกกว่า และปริมาณการซื้อก็มากเพียงพอด้วย ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำลง ดันมาร์จิ้นสูงขึ้น
สำหรับแนวโน้มราคาแอลพีจีคาดว่าจะเริ่มขยับสูงขึ้นในเดือน มิ.ย.นี้ต่อเนื่องไป ซึ่งสอดคล้องกับฤดูกาลที่การใช้แอลพีจีจะสูงในครึ่งปีหลัง ดันราคาแอลพีจีสูงขึ้นไปด้วย โดยประเมินว่าครึ่งปีหลังนี้ราคาแอลพีจีน่าจะอยู่ที่ระดับ 950 เหรียญสหรัฐ/ตันใกล้เคียงปีที่แล้ว ดีกว่าไตรมาส 1/2556 ราคาเฉลี่ยตันละ 800 เหรียญสหรัฐ และไตรมาส 2 นี้อยู่ที่ 750 เหรียญสหรัฐ/ตัน ทำให้ผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังสูงกว่าครึ่งปีแรก
สิ้น มี.ค. 2556 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม 2.66 หมื่นล้านบาท หนี้สินรวม 1.95 หมื่นล้านบาท และทุนจดทะเบียน 918 ล้านบาท โดยไตรมาสแรกนี้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 0.49 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 99.94% เนื่องจากราคาแอลพีจีตลาดโลกลดลง และมีต้นทุนค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เช่น ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจากการซื้อธุรกิจในเวียดนาม