- รอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกน รายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐช่วงต้นเดือนพ.ค.อยู่ที่ 83.7 จุด เพิ่มขึ้นจาก 76.4 จุดในเดือนก่อน ปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบเกือบ 6 ปี แสดงว่าผู้บริโภคสหรัฐลดความกังวลเกี่ยวกับมาตรการลดการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางแล้ว และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในอนาคตจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก
- ก.พลังงานสหรัฐ อนุญาตให้ส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่ผลิตในประเทศไปญี่ปุ่นและประเทศอื่นที่ไม่ได้ทำข้อตกลงการค้าเสรีกับสหรัฐได้ โดยคาดว่า LNG ต้นทุนต่ำน่าจะส่งไปญี่ปุ่นได้อย่างเร็วที่สุดในปี 2560
- สมาคมผู้ผลิตยานยนต์แห่งยุโรป (ACEA) เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ในยุโรปเดือนเม.ย.เพิ่มขึ้น 1.8% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนซึ่งเป็น 1.08 ล้านคัน ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 19 เดือนที่ยอดขายในยุโรปเพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากแรงหนุนของการขยายตัวในอังกฤษและเยอรมนี โดยยอดขายในเยอรมนีเพิ่มขึ้น 3.8% ในเดือน เม.ย.หลังจากที่ลดลง 5 เดือนติดต่อกัน อย่างไรก็ตาม ในเดือนม.ค.-เม.ย.ยอดขายรถในยุโรปลดลง 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
- ราคาบ้านใหม่ในจีนเพิ่มขึ้น 1% ในเดือน เม.ย. ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนที่ขยายตัว 1.2%เนื่องจากมาตรการคุมเข้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลรอบใหม่ที่ประกาศใช้ในเดือนมี.ค.เริ่มส่งผล อย่างไรก็ตาม ราคาบ้านใหม่เพิ่มขึ้น 4.9% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นำโดยปักกิ่งที่ราคาบ้านสูงขึ้นถึง 10.3% แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฐานคำนวณที่ต่ำกว่าปกติในเดือนเม.ย.ปีที่แล้ว ซึ่งนักวิเคราะห์จาก UBS คาดว่า ตลาดบ้านในจีนจะค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้นในช่วงหลายเดือนข้างหน้า
- จีนจะสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมผลิตยานยนต์จากต่างประเทศในพื้นที่ทางตะวันตก โดยบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ต่างชาติจะได้สิทธิพิเศษทางภาษีนับตั้งแต่ 10 มิ.ย.นี้ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายจากเดิมที่จีนได้ยกเลิกการส่งเสริมการลงทุนประเภทนี้ไปตั้งแต่เดือน ม.ค.2554 จากปัญหากำลังการผลิตล้นเกินความต้องการ
- เงินฝากสกุลหยวนในสถาบันการเงินไต้หวันเพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดที่ 6.02 หมื่นล้านหยวน หรือเพิ่มขึ้น 54.5% จากสิ้นเดือน ก.พ. หลังจากที่ภาคการธนาคารไต้หวันได้รับอนุญาตให้ทำธุรกรรมในรูปเงินหยวน ไม่ว่าจะเป็น เงินฝาก การปล่อยกู้ หรือการโอนเงิน ได้ตั้งแต่วันที่ 6 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่ง ธ.สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด คาดการณ์ว่า ไต้หวันจะมีเงินทุนสกุลหยวน 1.0-1.5 แสนล้านหยวนภายในสิ้นปีนี้ อันเป็นความคืบหน้าของการส่งเสริมให้ใช้เงินหยวนในระดับสากล โดยปัจจุบันไต้หวันเป็นตลาดใหญ่อันดับ 2 รองจากฮ่องกงที่ชำระบัญชีการทำธุรกรรมต่างๆ ในรูปเงินหยวนได้
- ยอดส่งออกสินค้าที่ไม่ใช่น้ำมันของสิงคโปร์ในเดือน เม.ย.ลดลง 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนลดลงต่อเนื่องหลังจากที่หดตัวลง 4.8% ในเดือน มี.ค. ซึ่งมีสาเหตุจากยอดส่งออกสินค้าอิเล็คทรอนิกส์ที่ลดลง 9% ในเดือน เม.ย. เนื่องจากการส่งออกไปยังตลาดสำคัญ 3 แห่งได้แก่ สหภาพยุโรป เกาหลีใต้ และ มาเลเซีย ลดลง
- เวิล์ดแบงก์ คาดการณ์ว่า ประเทศกำลังพัฒนาจะมีสัดส่วนการลงทุนทั่วโลกเพิ่มเป็น 3 เท่า สู่ระดับ 60% ของมูลค่าการลงทุนโดยรวมทั่วโลกในปี 2573 จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนไม่ถึง 1 ใน 3 โดยจีนจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการลงทุนด้วยสัดส่วน 30% ของมูลค่าโดยรวมทั่วโลก ขณะที่บราซิล อินเดีย และรัสเซีย จะมีส่วนหนุนการลงทุนรวมกันมากกว่า 13%
- ก.คลัง เปิดเผยว่า ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือน มี.ค.อยู่ที่ 5.12 ล้านล้านบาท หรือ 44.16 % ของ GDP ซึ่ง สศค.ประเมินว่า หนี้สาธารณะของไทยยังคงอยู่ในระดับต่ำ และยังอยู่ในกรอบความยั่งยืนทางการคลัง ที่กำหนดให้ไม่เกิน 60 % ของ GDP แสดงว่าภาคการคลังของไทยยังคงมีเสถียรภาพ
- ส.อ.ท.รายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือน เม.ย.อยู่ที่ 92.9 จุด ลดลงจาก 93.5 จุดในเดือนก่อนหน้า และลดต่อเนื่อง 4 เดือน เนื่องจากผู้ประกอบการกังวลต่อการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งแข็งค่ามากกว่าเมื่อเทียบกับค่าเงินของประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ขณะเดียวกันผู้ประกอบการก็มีแนวโน้มที่จะนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศที่มีราคาถูกกว่า ซึ่งส่งผลต่อผู้ผลิตอุตสาหกรรมต้นน้ำภายในประเทศ
- นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ แม้จะมีโครงการต่างๆ เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เนื่องจากประชาชนยังต้องการซื้ออย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อว่าการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของภาครัฐ รวมถึงความต้องการด้านที่อยู่อาศัยยังมีอยู่สูงนั้นจะส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ขยายตัวได้ 5-10% ส่วนผลจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท/วันทั่วประเทศ และราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับราคาสูงขึ้น 1-2% คาดว่จะทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้จะปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 3-7%
- SET Index ปิดที่ 1,627.96 จุด เพิ่มขึ้น 10.07 จุด หรือ +0.62% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 55,303 ล้านบาท โดยเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในต่างประเทศ แม้ว่าจะไม่มีปัจจัยใหม่ โดยหุ้นที่มีผลต่อการปรับตัวขึ้นของตลาดมากที่สุดได้แก่หุ้นกลุ่มสื่อสาร (ผู้ในบริการโทรศัพท์) รวมทั้งหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ในขณะที่มีแรงขายในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ต่อเนื่องเป็นวันที่ 2
- อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวลดลงในทุกช่วงอายุ โดยเปลี่ยนแปลงอยู่ในช่วง -0.02% ถึง 0.00% ซึ่งเป็นการลดลงของผลตอบแทนเป็นวันที่ 3