- โพลล์รอยเตอร์ คาดว่า ธ.กลางอังกฤษจะไม่เปลี่ยนนโยบายใดๆในการประชุมสัปดาห์นี้ โดยอัตราดอกเบี้ยจะยังคงอยู่ที่สถิติต่ำสุดที่ 0.5 % ต่อไปจนถึงปีหน้า และโอกาสที่จะพิมพ์เงินใหม่ออกมามากยิ่งขึ้นในปีนี้ได้ลดลงสู่55 % จากเดิม 60 % ซึ่งเป็นผลจากการที่เศรษฐกิจเริ่มกลับมาเติบโตได้
- ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเยอรมนีเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 1.2% เป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะเพิ่ม0.6% ส่งสัญญาณว่า เศรษฐกิจเยอรมนีมีแนวโน้มขยายตัวในปีนี้
- รมว.คลังสหรัฐ คาดว่า GDP สหรัฐจะขยายตัว 3% ขึ้นไปในปีหน้า และจะขยาย2%-2.5% ในปีนี้ ทั้งนี้ ที่ขยายตัวได้ไม่สูงเป็นผลจากการตัดลดงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลและการขึ้นภาษีที่มีผลตั้งแต่ต้นปี รวมถึงผลจากเศรษฐกิจถดถอยในยุโรปซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของสหรัฐ
- ยอดปล่อยสินเชื่อผู้บริโภคเดือนมี.ค.ของสหรัฐเพิ่มขึ้น 7.97 พันล้านดอลลาร์ ชะลอลงจากที่เพิ่มขึ้น 18.6 พันล้านดอลลาร์ในเดือนก่อนเนื่องจากการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของคนอเมริกันลดลงและผลกระทบของการขึ้นภาษีเงินได้ที่เริ่มมีผลบังคับใช้ ส่วนราคาบ้านแม้จะเพิ่มสูงขึ้นแต่ผู้บริโภคก็เข้าถึงแหล่งเงินกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำได้
- การงานว่างในสหรัฐเดือน มี.ค.ลดลง 55,000 มาอยู่ที่ 3.84 ล้านตำแหน่ง เพราะผู้ประกอบการเริ่มชะลอการจ้างงานเพื่อรอดูสัญญาณทางเศรษฐกิจให้ชัดเจนก่อน ประกอบกับการขึ้นภาษีเมื่อต้นปีเป็นปัจจัยกดดันยอดขายในภาคค้าปลีก และภาคการผลิต
- โรแบร์โต อะเซเวโด เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรจากบราซิลเป็นตัวแทนคนแรกจากกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ “BRICS" ที่ได้เป็นผู้อำนวยการองค์การการค้าโลก โดยได้คะแนนชนะ เฮอร์มินิโอ บลังโก รัฐมนตรีเศรษฐกิจเม็กซิโก
- ยอดส่งออกของจีนในเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 14.7% ส่วนนำเข้าขยายตัว 16.8% ทำให้เกินดุลการค้า 1.816 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยมีความต้องการอย่างต่อเนื่องจากภายนอก แม้ว่านักวิเคราะห์บางรายสงสัยว่าผู้ส่งออกอาจแจ้งตัวเลขเกินจริงเพื่อนำเงินทุนเข้าประเทศและหลีกเลี่ยงกฎหมายจำกัดเงินทุนสวนทางกับยอดส่งออกของเกาหลีใต้และไต้หวันในเดือน เม.ย.ที่แย่กว่าคาด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความต้องการทั่วโลกกำลังอ่อนแอ
- รัฐสภาเกาหลีใต้อนุมัติงบกระตุ้นเศรษฐกิจการคลัง 5.3 ล้านล้านวอนเพื่อส่งเสริมการขยาย ตัวของเศรษฐกิจโดยรวมผ่านการสร้างงานและสนับสนุนธุรกิจขนาดย่อม ทั้งนี้ รัฐสภาได้อนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณพิเศษ17.3 ล้านล้านวอน โดยจัดงบ 12 ล้านล้านวอนเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณที่เกิดจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวมากกว่าที่คาดไว้ ขณะที่งบส่วนที่เหลืออีก 5.3 ล้านล้านวอนมีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
- โตโยต้ามอเตอร์ มีกำไรสุทธิในไตรมาสแรกเพิ่มขึ้นมากกว่า2 เท่า มาอยู่ที่ 313.9 พันล้านเยน (3.2 พันล้านดอลลาร์)หลังประสบความสำเร็จในการลดต้นทุน และได้รับประโยชน์จากการอ่อนค่าลงของเงินเยน ทั้งนี้ คาดว่ายอดขายรถยนต์ทั่วโลกของบริษัทปีนี้จะทะลุ9 ล้านคันเมื่อเทียบกับ 8.87 ล้านคันในปีก่อน
- ฮิตาชิ ญี่ปุ่น สนใจเข้าร่วมพัฒนาเส้นทางคมนาคมขนส่งของไทย และจะเสนอเทคโนโลยีการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง โดยที่ผ่านมานี้ ฮิตาชิ มีการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องและจะยึดไทยเป็น Hub ของภูมิภาค และได้ขอบคุณไทยที่สนับสนุนการลงทุนของบริษัทมาโดยตลอด
- SETIndex ปิดที่ 1,614.15 จุด เพิ่มขึ้น 13.00 จุด หรือ 0.81% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 56,711.32 ล้านบาทโดยดัชนีแกว่งตัวในแดนบวกเนื่องจากบรรยากาศลงทุนหุ้นทั่วโลกค่อนข้างสดใสรวมถึงการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญของหลายๆ ประเทศในช่วงนี้ออกมาดีเกินคาดประกอบกับเป็นช่วงการประกาศผลประกอบการไตรมาส 1 ที่หลายบริษัทไทยมีผลประกอบการออกมาค่อนข้างดีจึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวกที่หนุนให้ตลาดหุ้นไทยมีแรงซื้ออย่างต่อเนื่อง
- ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดที่ระดับ2,246.30 จุด เพิ่มขึ้น 10.73จุด หรือ +0.48% โดยตลาดได้รับปัจจัยบวกจากยอดส่งออกเดือนเม.ย.ที่ขยายตัวมากกว่าที่คาด โดยหุ้นกลุ่มที่ราคาปรับเพิ่มขึ้นมากที่สุดได้แก่กลุ่มยานยนต์ และกลุ่มรถไฟ
- แบงก์ชาตินิวซีแลนด์เริ่มแทรกแซงค่าเงินด้วยการขายเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ออกมา เพื่อแก้ปัญหาการแข็งค่าขึ้นของสกุลเงินในประเทศและปกป้องภาคส่งออกหลังจากก่อนหน้าแข็งค่าขึ้นมาแล้ว 4% เมื่อเทียบกับเงินสกุลสำคัญในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว
- ชาวอาร์เจนตินาเริ่มถือครองเงินดอลลาร์อเมริกันมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการฝากเงินในสกุลเงินเปโซของตน เนื่องจากคาดว่าเงินเฟ้อจะสูงถึง 25%ในปีนี้ ส่งผลให้ค่าเงินเปโซร่วงลงแล้ว 22%ในตลาดมืด และเงินทุนสำรองของ ธ.กลาง ก็ลดลง 9% ขณะที่การใช้จ่ายภาคสาธารณะที่เพิ่มขึ้นก่อนถึงการเลือกตั้งในเดือน ต.ค.ทำให้ความต้องการเงินดอลลาร์ในภาครัฐมีมากขึ้น
- ธ.กลางของจีน (PBOC) ส่งสัญญาณว่าอาจเริ่มออกตั๋วเงินคลังเป็นครั้งแรกในรอบ17 เดือน เพื่อระบายเงินจากตลาดอินเตอร์แบงก์เป็นระยะเวลาที่นานกว่าข้อตกลงซื้อคืนพันธบัตรที่ใช้มาตั้งแต่ปีก่อนโดยเทรดเดอร์ในตลาดมองว่า PBOC อาจเตรียมเปลี่ยนแนวทางในการจัดการสภาพคล่อง แม้จะไม่ใช่การส่งสัญญาณคุมเข้มด้านการเงินมากขึ้นก็ตาม
- อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลปรับลดลง -0.01% ถึง +0.03% สำหรับวันพรุ่งนี้มีการประมูลพันธบัตรการรถไฟแห่งประเทศไทยอายุ 3/7/10 ปี วงเงินรวม 3,600 ล้านบาท
- ดัชนีความเชื่อมั่นในราคาทองคำของไทยเดือนพ.ค. ลดลงมาอยู่ที่ 45.50 จาก 52.84 จุด ในเดือนก่อน ซึ่งสะท้อนมุมมองเชิงลบของผู้ลงทุนหลังราคาทองปรับตัวลงแรงโดยที่ความผันผวนของค่าเงินบาทยังเป็นปัจจัยหลักที่กระทบต่อราคาทองคำในประเทศ ขณะที่ผู้ค้ามองว่าราคาทองในประเทศเดือนนี้จะใกล้เคียงกับเดือนก่อนหลังแรงซื้อเริ่มลดโดยกองทุนทองคำขนาดใหญ่ของโลกยังถูกขายออกต่อเนื่อง ทั้งนี้ ได้ประเมินราคาทองคำโลกในเดือนนี้ไว้ที่ 1,300-1,560 ดอลลาร์/ออนซ์ ส่วนราคาทองคำในประเทศจะอยู่ที่บาทละ 18,900-21,900 บาท