“สมาคมธุรกิจก๊าซรถยนต์ไทย” ตบเท้ายื่นหนังสือเปิดผนึกถึง รมว.พลังงาน ย้ำไม่ได้คัดค้านขึ้นราคาแอลพีจีภาคขนส่งและเอ็นจีวี แต่ต้องการให้รัฐเปิดเสรีการใช้ให้ประชาชนเลือก พร้อมดูแลมาตรฐานอู่ก๊าซฯ และอุปกรณ์ติดตั้งเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ
นายสุรศักดิ์ นิตติวัฒน์ นายกสมาคมธุรกิจก๊าซรถยนต์ไทย พร้อมสมาชิกจำนวนหนึ่งเดินทางเข้ายื่นหนังสือเปิดผนึกต่อนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อหารือแนวทางการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) และก๊าซธรรมชาติ (เอ็นจีวี) ในรถยนต์ว่า สมาคมฯ ไม่ได้คัดค้านในการปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคขนส่ง และเอ็นจีวีของรัฐบาลแต่อย่างใด เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับราคาน้ำมันแล้วก๊าซฯ ยังถูกกว่ามากจึงต้องการเห็นนโยบายรัฐส่งเสริมการใช้ที่เปิดกว้างแบบเสรีให้ประชาชนมีสิทธิเลือกมากกว่าการไปจำกัดสิทธิ
“ตามนโยบายรัฐแอลพีจีภาคขนส่งจะทยอยปรับขึ้นราคาไปอยู่ที่ 15-16 บาทต่อลิตร จาก 12-13 บาทต่อลิตร เอ็นจีวีจะปรับขึ้นไปอยู่ที่ 12.6 บาทต่อกิโลกรัม จาก 10.50 บาทต่อ กก. ซึ่งเราไม่คัดค้านอะไรแต่สิ่งที่ต้องการให้รัฐดูแลให้ทุกอย่างเป็นไปตามมาตรฐานเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ซึ่งเวลานี้อุปกรณ์ติดตั้งแก๊สบางส่วนไปซื้อที่ตลาดเชียงกงก็ยังมีอยู่ที่อันตราย” นายสุรศักดิ์กล่าว
ปัจจุบันมีอู่ติดตั้งอุปกรณ์ก๊าซฯ ในรถยนต์รวมกว่า 1,000 ราย เป็นอู่ที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องประมาณ 500 ราย ที่เหลือเป็นอู่ไม่ได้มาตรฐาน จึงส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุกับรถยนต์ที่ใช้ก๊าซฯ บ่อยครั้ง ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมาพบว่ามีการเกิดอุบัติเหตุเพียงร้อยละ 0.5 เท่านั้น ส่วนใหญ่มาจากปัญหาการติดตั้งที่ไม่ได้มาตรฐานและไม่ได้ผ่านการตรวจสอบซ้ำหลังใช้งาน ขณะที่จำนวนรถยนต์ส่วนบุคคลที่ใช้ก๊าซฯ แอลพีจี และเอ็นจีวี มีอยู่กว่า 1.2 ล้านคัน เป็นแอลพีจีประมาณ 1 ล้านคัน ที่เหลือเป็นเอ็นจีวี และหากรวมกลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซฯ จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 1.5-1.6 ล้านคัน
ส่วนแนวคิด หรือนโยบายยกเลิกการรับจดทะเบียนรถยนต์ที่ใช้ก๊าซแอลพีจี ได้รับการชี้แจงจากกระทรวงคมนาคมแล้วว่ากรมการขนส่งทางบกยังไม่มีนโยบายออกประกาศในเรื่องนี้ จึงไม่มีผลทางกฎหมาย ซึ่งเรื่องนี้เป็นเพียงแนวคิดของกระทรวงพลังงานเท่านั้น