“ซีพีเอ็น” ร่วมชิงดำที่ดินสวนลุมฯ อีกรอบแข่งกับยักษ์ใหญ่ พร้อมปรับแบบแปลนใหม่ สู่มิกซ์ยูส คาดยื่นรูปแบบโครงการสิงหาคมนี้ ลั่นถ้าชนะจะเป็นโครงการใหญ่สุดของซีพีเอ็นมากกว่า 20,000 ล้านบาท พร้อมชูธงรุกต่างประเทศชัดเจน เป้าแรกที่อินโดนีเซียกับเวียดนาม เบรกแผนลุยจีน
นายกอบชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ยื่นเสนอตัวเข้าประมูลโครงการที่ดินเดิมของสวนลุมไนท์บาซาร์ซึ่งเป็นของบริษัท ทุนลดาวัลย์ จำกัด ในเครือของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เรียบร้อยแล้ว โดยที่สัญญาเอ็มโอยูเดิมนั้นยกเลิกไปแล้วเนื่องจากผ่านไป 3 ปียังไม่สามารถเริ่มโครงการได้ อีกทั้งยังติดข้อจำกัดด้านกฎหมายผังเมือง และกฎหมายก่อสร้างอาคารสูงด้วย ที่ไม่ให้ก่อสร้างอาคารสูงเกิน 45 เมตร ซึ่งที่ใหม่นี้มีพื้นที่รวม 88 ไร่ จากทั้งหมด 127 ไร่ ขณะที่ของเดิมนั้นจำนวน 40 กว่าไร่เท่านั้นเอง คาดว่าภายในเดือนสิงหาคมนี้จะยื่นแบบแปลนโครงการให้กับทางบริษัททุนลดาวัลย์ได้
เบื้องต้นรูปแบบโครงการเป็นแบบมิกซ์ยูส ทั้งพื้นที่ค้าปลีกศูนย์การค้า โรงแรม อาคารสำนักงาน และอื่นๆ ซึ่งได้มีการออกแบบแปลนและปรับรูปแบบใหม่จากเดิมที่เคยศึกาไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งถ้าหากกลุ่มซีพีเอ็นได้สิทธิที่ดินผืนนี้ ก็จะเป็นโครงการที่ใหญ่และมีมูลค่าการลงทุนมากที่สุดเท่าที่ซีพีเอ็นเคยทำมา ด้วยพื้นที่ตามเงื่อนไขกว่า 500,000 ตารางเมตร และลงทุนไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ที่ดินสวนลุมไนท์บาซาร์เดิมนี้ มีข่าวว่านอกจากกลุ่มซีพีเอ็นที่สนใจแล้วก็ยังมีกลุ่มแลนด์แอนด์เฮ้าส์ กลุ่มทุนของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี อีกด้วยที่สนใจเข้าร่วมประมูลที่ดินผืนงามดังกล่าว
นายกอบชัย กล่าวถึงแผนการรุกตลาดต่างประเทศด้วยว่า บริษัทฯวางแผนภายใน 5 ปีจากนี้ 2556-2560 จะเริ่มรุกตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะอาเซียนอย่างจริงจังมากขึ้น เพื่อรองรับกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีในปี 2558 นี้ ส่วนตลาดประเทศจีนนั้น ตอนนี้คงยังไม่พิจารณาลงทุน เนื่องจากยังขาดความชัดเจนในเรื่องกฏหมายต่างๆ เช่นการนำรายได้ออกนอกประเทศ ทั้งนี้ตลาดที่น่าสนใจเบื้องต้นนี้คืออาเซียน บิษัทฯ มองไปที่อินโดนีเซีย เวียดนาม และมาเลเซีย
ทั้งนี้ คาดว่าจะมีการลงทุนศูนย์การค้าประมาณ 2-3 แห่งภายในระยะเวลาดังกล่าว ลงทุนแห่งละประมาณ 4-5 พันล้านบาท คาดว่าจะเริ่มเห็นได้ที่ อินโดนีเซีย กับเวียดนาม ส่วนมาเลเซียนั้น แม้ว่าอำนาจการซื้อจะมากกว่าไทย2 เท่า แต่ประชากรก็น้อยกว่าไทย 2 เท่า โดยเฉลี่ยแล้วก็เหมือนๆ กับประเทศไทย ส่วนกรณีค่าเงินบาทในช่วงนี้ที่แข็งค่าขึ้นมาอย่างมากก็ตาม แต่ก็ไม่มีผลกระทบอะไรกับการลงทุนในต่างประเทศของบริษัทฯ เพราะค่าเงินบาทแข็งเป็นระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น รวมทั้งการลงทุนต่างประเทศนนั้น พิจารณาจากศักยภาพของตลาดเป็นหลักในแต่ละประเทศว่าแตกต่างมีจุดแข็งจุดอ่อนอย่างไรมากกว่า
นายกอบชัย กล่าวว่า ล่าสุดนี้ได้เปิดตัวโครงการใหม่ 2 แห่ง คือ เซ็นทรัลพลาซา ศาลายา นครปฐม มูลค่าโครงการ 3,900 ล้านบาท พื้นที่ 70 ไร่หรือ 180,000 ตารางเมตร คาดเปิดบริการได้ไตรมาสสามปี 2557 และโครงการเซ็นทรัลเฟสติวัล สมุย มูลค่า 3,100 ล้านบาท พื้นที่ 37 ไร่หรือ 90,000 ตารางเมตร คาดเปิดบริการไตรมาสแรกปี 2557
ภาพรวมเศรษฐกิจประเทศไทยยังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับต่างชาติในเอเซียหรือในอาเซียนด้วยกัน เช่น จีนมีจีดีพี 7% ของไทยมีจีดีพี 4-5% ซึ่งห่างกันไม่มาก อีกทั้งประชากรมีรายได้สูงขึ้น อำนาจการซื้อเพิ่มขึ้น ตลาดค้าปลีกก็คึกคักตามไปด้วย นอกจากนั้น การเจริญเติบโตในเขตตัวเมืองก็จะมากขึ้นเพราะการหลั่งไหลของประชากรในต่างจังหวัดที่เริ่มเคลื่อนย้ายเข้ามาในเมืองมากขึ้นเพราะเริ่มมีรายได้ดีและต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย จึงเป็นอึกเหตุผลหนี่งทำให้เราขยายตัวในต่างจังหวัดมากขึ้นด้วย และคาดว่าปีนี้บริษัทฯจะเติบโต 15%
“ตอนนี้ประเทศไทยมี 77 จังหวัด แต่ตอนนี้เรามีศูนย์การค้าของเรากระจายอยู่เพียง 10 จังหวัดรวม 11 สาขาเท่านั้นเอง คือ พัทยา 2 สาขา เชียงใหม่ อุดรธานี ชลบุรี ขอนแก่น เชียงราย พิษณุโลก สุราษฎร์ธานี ลำปาง และอุบลราชานีที่เพิ่งเปิดปีนี้ จากปัจจุบันที่บริษัทฯ มีศูนย์การค้าเปิดบริการแล้วประมาณ 21 แห่ง (อุบลราชธานีแห่งล่าสุด) แบ่งเป็นกรุงเทพฯ และปริมณฑล 10 สาขา และต่างจังหวัด 11 สาขา ซึ่งปลายปีนี้จะมีเพิ่มอีก 2 สาขา คือ ที่เชียงใหม่กับหาดใหญ่ รวมเป็น 23 สาขา และปีหน้าจะเปิดอีก 2 สาขา คือ ที่ศาลายา และสมุย ซึ่ยังมีโอกาสที่จะขยายตัวได้อีกมาก” นายกอบชัยกล่าว