ASTVผู้จัดการรายวัน - สหวิริยาสตีลฯ ลั่นไตรมาส 3 ผลประกอบการพลิกมีกำไรอีกหลัง หลังจากโรงถลุงเหล็กที่อังกฤษติดตั้งระบบ PCI แล้วเสร็จ ดันกำลังการผลิตเหล็กแท่งแบนเพิ่มขึ้น มั่นใจทั้งปีรายได้โตไม่น้อยกว่า 20% จากปีก่อน แย้มเล็งขายหุ้น SSI UK บางส่วนให้นักลงทุนที่สนใจ เพื่อลดความเสี่ยงและดอกเบี้ยจ่าย
นายวิน วิริยประไพกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) (SSI) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 นี้ บริษัทฯ จะกลับมามีกำไรสุทธิอีกครั้ง เนื่องจากโรงถลุงเหล็กที่อังกฤษ (SSI UK) คาดว่าผลประกอบการถึงจุดคุ้มทุน (Break event) เพราะขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตั้งหน่วย PCI ซึ่งเป็นโครงการสำคัญที่จะช่วยลดต้นทุนการผลิตลงได้ถึง 7-8% จะแล้วเสร็จในต้นเดือน มิ.ย.นี้ และช่วยเพิ่มกำลังการผลิตโรงงานจากเดิมที่ผลิตเหล็กแท่งแบนอยู่ 80% เป็น 85-95% ของกำลังการผลิต 3.6 ล้านตัน/ปี ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำลงอยู่ในระดับที่แข่งขันได้
ขณะที่โรงงานผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนในไทยนั้น ปัจจุบันมีกำไรจากการดำเนินงานอยู่แล้วนับตั้งแต่ไตรมาส 1/2556 โดยปีนี้บริษัทฯตั้งเป้าหมายผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนฯเพิ่มขึ้นเป็น 2.7 ล้านตัน หลังจากไตรมาส 1 นี้ มีกำลังการผลิตสูงถึง 7.70 แสนตัน คาดว่าทั้งปีบริษัทฯมีรายได้รวมโตขึ้นไม่น้อยกว่า 20% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 6.06 หมื่นล้านบาท และมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและภาษี (EBITDA) เป็นบวกอย่างแน่นอน หากราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนฯ ไม่ผันผวนมากนัก
“ไตรมาสแรกปีนี้บริษัทฯ ยังขาดทุนอยู่ แม้ว่าโรงงานผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนฯ ที่บางสะพานจะผลิตและจำหน่ายได้ถึง 7.7 แสนตัน ก็เป็นระดับที่สูงที่สุด มีการเก็บสต็อกวัตถุดิบและสินค้าลดลง ทำให้ผลประกอบการมีกำไร แต่โรงงานถลุงเหล็กที่อังกฤษยังขาดทุนอยู่ เนื่องจากต้นทุนการผลิตสูง”
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนจะลดการขาดทุนโรงถลุงเหล็กที่อังกฤษ นอกเหนือจากการติดตั้งระบบ PCI ซึ่งเป็นการนำถ่านหินบดละเอียดมาพ่นเข้าเตาถลุงเหล็กแล้ว บริษัทยังศึกษาที่จะนำความร้อนจากเตาถลุงมาผลิตไฟฟ้าเพิ่มทำได้ถึง 200 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันที่ผลิตอยู่ 80 เมกะวัตต์ โดยจะทยอยสร้างโรงไฟฟ้าขนาดเล็กก่อนในปลายปีนี้ และหากมีกำลังการผลิตไฟฟ้าส่วนเกินในอนาคต ก็จะขายเข้าระบบการไฟฟ้าของอังกฤษ สร้างรายได้เพิ่มเติม
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังพิจารณาที่จะลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท SSI UK ลงจากปัจจุบันถือหุ้นอยู่ 100% เพื่อนำเงินที่ได้จากการขายหุ้นมาคืนหนี้และลดภาระดอกเบี้ยจ่ายลงด้วย ซึ่งขณะนี้มีหลายบริษัทสนใจเข้ามาเจรจาร่วมทุนด้วย โดยบริษัทจะเลือกพันธมิตรร่วมทุนที่จะช่วยเสริมธุรกิจ เช่น มีเทคโนโลยี ซัปพลายเออร์ หรือเป็นลูกค้าที่ซื้อเหล็กแท่งแบนอยู่แล้ว ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปแต่อย่างใด
นายวินกล่าวว่า แนวโน้มราคาวัตถุดิบ คือ แร่เหล็ก คาดว่าอ่อนตัวลงอยู่ที่ตันละ 120 เหรียญสหรัฐจากปัจจุบันราคาอยู่ที่ 134 เหรียญสหรัฐ ซึ่งปรับตัวลงจากต้นปีนี้อยู่ที่ 150 เหรียญสหรัฐ เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจจีนโตในอัตราที่ลดลง ทำให้ความต้องการใช้แร่เหล็กของจีนลดลงด้วย ขณะเดียวกัน เหมืองแร่ก็มีการขยายกำลังการผลิตแร่เหล็กทำให้ปริมาณการผลิตเกินความต้องการอยู่ ขณะที่ราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนฯ ก็มีราคาสูงขึ้นในช่วงต้นปีก่อนจะอ่อนตัวลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ตันละ 2.2 หมื่นบาท คาดว่าราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนฯจะทรงตัวอยู่ในระดับนี้ไปถึงสิ้นปี 2556 ซึ่งเป็นระดับราคาที่ผู้ประกอบการเหล็กอยู่ได้
ในปี 2555 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 6.06 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 4.79 หมื่นล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 1.59 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 981 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขาดทุนจากโรงถลุงเหล็กที่อังกฤษ