ASTVผู้จัดการรายวัน - “โค้ก” โวโค่นเป๊ปซี่แบบราบคาบ ขึ้นผู้นำตลาดน้ำดำ 50% และคอร์ปอเรตแชร์น้ำอัดลม 55.5% หลังลบจุดอ่อนทั้งโฆษณา ลอจิสติกส์ การผลิต ทุ่มงบรวม 4,000 ล้านบาทเพิ่มกำลังผลิต เลิกระบบขายเร่ เผยไทยโตสูงสุดอันดับ 2 ของโค้กทั่วโลก
นายแอนโตนิโอ เดล โรซาริโอ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ศักยภาพตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมในไทยมีสูงมาก ซึ่งตลาดประเทศไทยก็เป็นตลาดสำคัญของโคคา-โคลาทั่วโลกด้วย ซึ่งปัจจุบันเติบโตเร็วที่สุดเป็นอันดับที่สองของโลกรองจากอินเดียแค่หน่วยเดียว และโคคา-โคลาในไทยยังติดอันดับที่ 19 ที่มียอดขายสูงสุดจากจำนวน 206 ประเทศที่โคคาโคลาทำตลาดด้วย และไทยจะเป็นตลาดสำคัญที่จะมีส่วนผลักดันทำให้รายได้ของโคคาโคลาทั่วโลกเพิ่มเป็นสองเท่าภายในปี 2563
ปัจจุบันแบรนด์โค้กเป็นผู้นำตลาดน้ำดำด้วยส่วนแบ่ง 50% ตั้งแต่ปลายเดือนปีที่แล้ว และปีที่แล้วน้ำดำโค้กเติบโตสูงสุด 32% เป็นประวัติศาสตร์ ขณะที่คอร์ปอเรตแชร์ทั้งโค้ก แฟนต้า สไปรท์ มีรวมกันประมาณ 55.5% ในตลาดน้ำอัดลมรวม ส่วนยอดขายรวมทั้งกลุ่มโคคาโคลาในไทยปีที่แล้วเติบโตถึง 23% มากที่สุดเป็นประวัติการณ์รอบ 60 ปีที่กลุ่มโค้กทำตลาดในไทย ซึ่งรายได้รวมปีที่แล้วของกลุ่มธุรกิจโคคาโคลาในไทยเกิน 30,000 ล้านบาทไปแล้ว แบ่งสัดส่วนเป็นกลุ่มน้ำอัดลม 80% และไม่อัดลม 20%
ปีนี้คาดการณ์ว่าตลาดรวมน้ำอัดลมในไทยจะเติบโต 7% ที่มีมูลค่าประมาณ 44,000 ล้านบาท ขณะที่ตลาดรวมเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์โดยรวมมีมูลค่าประมาณ 169,000 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มโคคาโคลาจะต้องเติบโตมากกว่าหรืออย่างน้อยเท่ากับตลาดรวม
นายพรวุฒิ สารสิน รองประธานกรรมการ บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครืองดื่มกลุ่มธุรกิจโคคาโคลา เปิดเผยว่า ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาพวกเราทำงานกันเหนื่อยมาก เราปรับการทำงานต่างๆ ควบคู่กับการลงทุนต่อเนื่อง โดยเน้น 3 ปัจจัยหลัก คือ 1. การตลาด 2. การผลิต 3. การกระจายสินค้า ซึ่งปีที่แล้วคู่แข่งเราที่มีปัญหากันเองภายใน เราก็เพิ่มกำลังการผลิตป้อนตลาดและพยายามอุดรูรั่วของคนอื่นที่ไม่มีขายช่วงหนึ่งจนได้ยอดขายเข้ามามาก เมื่อปีที่แล้วเราได้เพิ่มพนักงานฝ่ายขาย ฝ่ายลอจิสติกส์ ฝ่ายผลิต ฝ่ายกระจายสินค้าและบริการลูกค้ารวมกว่า 500 อัตรา
ในอดีตน้ำดำโค้กเคยเป็นผู้นำตลาดน้ำดำในไทย แต่ต่อมาเป็นที่ 2 แต่เราก็เป็นผู้นำทุกภาคของไทย มีเพียงกรุงเทพฯ กับปริมณฑลที่แพ้คู่แข่ง แต่ว่าตอนนี้เราเป็นผู้นำตลาดเบ็ดเสร็จแล้ว และมั่นใจว่าด้วยแผนงานที่เราจะต้องทำต่อไปเพื่อรักษาความเป็นผู้นำไว้ให้ได้
“สาเหตุที่ก่อนหน้านี้เราแพ้คู่แข่งเพราะเราสู้เขาไม่ได้หลายอย่าง ทั้งการโฆษณา การจัดจำหน่าย การบริการ แต่ตอนนี้เราปรับทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว ไม่แพ้เขาแล้ว ล่าสุดแบรนด์โค้กก็ขึ้นเป็นที่ 1 ที่ผู้บริโภคนึกถึงด้วยจากการวิจัยของนีลเส็น”
นายโทนี่กล่าวต่อว่า ช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเราลงทุนต่อเนื่อง ล่าสุดเดือนนี้จะเดินเครื่องสายการผลิตจากเครื่องจักรใหม่ซูเปอร์ไฮสปีด ผลิตได้ถึง 1,200 ขวดต่อนาที ที่โรงงานรังสิต เพิ่มกำลังผลิตอีก 35% รวมทั้งจะเพิ่มกำลังผลิตใหม่อีก 3 เครื่องรองรับเครื่องดื่มทั้งอัดลมและไม่อัดลม ซึ่งทั้ง 4 ไลน์ผลิตนี้ลงทุนประมาณ 2,600 ล้านบาทในปีนี้ และการเพิ่มโรงงานใหม่อีกแห่ง
รวมไปถึงการปรับระบบการจำหน่ายใหม่จากเดิมที่เน้นการขายแบบรถเร่ขายดั้งเดิมนำสินค้าไปที่ร้านค้าแล้วแลกกับลังเก่ากับร้านค้า ซึ่งทำให้ต้นทุนสูงเพราะไม่รู้จำนวนที่ร้านค้าต้องการแน่นอน บางครั้งเหลือกลับมาที่โรงงาน ซึ่ง 3 ปีที่ผ่านมาพัฒนาระบบลอจิสติกส์ใหม่มีประสิทธิภาพขึ้น เลิกระบบเก่ามาใช้ระบบใหม่ที่รู้ต้วเลขล่วงหน้าชัดเจนว่าร้านใดต้องการสินค้ามากน้อยเท่าใด จึงวางแผนขนส่งได้ถูกต้อง ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ 50% การส่งสินค้าให้กับร้านค้าสามารถทำได้ถึง 99% จากจำนวนสินค้าที่โหลดในแต่ละครั้ง จากเดิมจำหน่ายได้เพียง 65% ในปี 2553 และพนักงานขายใช้เวลาอยู่กับร้านค้าได้นานถึง 60% ของเวลาทำการ จากเดิมแค่ 25% เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ซึ่งมีร้านค้าโชห่วยมากกว่า 300,000 ร้านค้า เป็นช่องทางที่สร้างรายได้ให้กับโคคาโคลามากเกินครึ่งหนึ่ง
อนาคตมีแผนที่จะนำเครื่องดื่มแบรนด์ใหม่ๆ ของเครือโคคา-โคลาเข้ามาทำตลาดในไทย แต่ต้องดูความเหมาะสม เวลานี้อยู่ระหว่างการศึกษา ซึ่งปัจจุบันในไทยมีเครื่องดื่มในเครือรวม 9 แบรนด์ มากกว่า 20 ผลิตภัณฑ์
ล่าสุดเปิดตัวแคมเปญซัมเมอร์ด้วยการเปิดตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์คนใหม่คือวงดนตรีโปเตโต้ และนักร้องชือ่ดังคือ โจอี้-บอย
พล.ต.พัชร รัตตกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท หาดทิพย์ นจำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายกลุ่มเครื่องดื่มโดคา-โคลาใน 14 จังหวัดภาคใต้ กล่าวว่า จะเปิดโรงงานใหม่ที่สุราษฎร์ธานีด้วยงบลงทุนกว่า 1,400 ล้านบาทในเดือนเมษายนนี้ จะทำให้เพิ่มกำลังการผลิตเครื่องดื่มน้ำอัดลมบรรจุขวดเพ็ทอีก 3 เท่าตัว และรองรับการผลิตเครื่องดื่มไม่อัดลมในอนาคตด้วย และลงทุนอีก 50 ล้านบาทในโครงการเพื่อความยั่งยืนด้วย