ASTVผู้จัดการรายวัน - ตลาดน้ำอัดลม 3.8 หมื่นล้านบาทแข่งเดือด “โค้ก” ลั่นขอ 1 ปีคอร์ปอเรตแชร์ 60% หลังเป๊ปซี่เข้าเกียร์ว่าง สกัดเสริมสุขปั้น “EST” ผนึกไทยน้ำทิพย์-หาดทิพย์ ยึดช่องทางเทรดิชันนัลเทรด-กินตลาดขวดคืน อัดฉีด 200 ล้านบาทกระทุ้งคอร์ปอเรตแชร์สิ้นปีพุ่งมากกว่า 54%
นายธิติ ตวงสิทธิตานนท์ ผู้จัดการการตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์โคคา-โคลา บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มน้ำอัดลมโค้ก เปิดเผยว่า ตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมมูลค่า 3.8 หมื่นล้านบาทในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้การแข่งขันจะรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากมีแบรนด์เอส (est) จากเสริมสุขภายใต้บังเหียนใหญ่ของเจริญ สิริวัฒนภักดี เข้ามาทำตลาด ภายหลังจากเป๊ปซี่หมดสัญญากับบริษัทเสริมสุขวันที่ 1 พ.ย.นี้ ส่งผลให้เป๊ปซี่ชะลอการทำตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมลงไป โดยปัจจัยที่ทำให้ผู้ประกอบการช่วงชิงตลาดน้ำอัดลมไทย เนื่องจากอัตราการบริโภคของไทย 85-86 ขวดต่อคนต่อปี เติบโตถึง 11% ถือว่ามียอดสูงในอาเซียนใกล้เคียงกับฟิลิปปินส์
ในช่วงปลายปีนี้คาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนการทำตลาดเพื่อสร้างแบรนด์ที่จะเข้ามาทำตลาดใหม่เพิ่มขึ้นเพื่อกระตุ้นให้เกิดการทดลองดื่ม ส่งผลให้ตลาดในสิ้นปีนี้มีการเติบโตมากกว่า 15% จากปกติตลาดในปี 2553 เติบโต 12-15% ส่วนเมื่อปีที่ผ่านมาตลาดไม่เติบโตเนื่องจากน้ำท่วมในช่วงปลายปี โดยช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาตลาดโต 11%
บริษัทได้วางแผนการตลาดเชิงรุกในระยะยาวเพื่อช่วงชิงคอร์ปอเรตแชร์ในช่วงเวลา 1 ปี หรือระหว่างเดือนมกราคม-กันยายน เพิ่มจาก 54% เป็นเกือบ 60%
“ช่วงเวลาที่เป๊ปซี่มีปัญหากับเสริมสุขหรือ 1 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เครื่องดื่มน้ำอัดลมของโค้กทุกกลุ่มมียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้น กระทั่งคอร์ปอเรตแชร์เพิ่มจาก 49% เป็น 54% ทำให้บริษัทกลับมามีส่วนแบ่งสูงขึ้นในรอบ 10 ปี และในอีก 1 ปีข้างหน้าบริษัทจะกลับมาครองส่วนแบ่ง 60% เท่ากับในอดีต
นายธิติกล่าวถึงกลยุทธ์การทำตลาดว่า จะผนึกรวมกับพันธมิตรไทยน้ำทิพย์ หาดน้ำทิพย์ ซึ่งทำหน้าที่ดูแลด้านการตลาด การกระจายสินค้า ภายใต้โลคัลอินไซด์ และโลคัลโนว์ฮาว โดยเฉพาะในช่องทางเทรดิชันนัลเทรดมีสัดส่วน 58-60% โดยต้องการขยายร้านค้าทั่วไปเพิ่มขึ้นหลังจากที่เป๊ปซี่ชะลอการทำตลาดลงไป ซึ่งปัจจุบันเป๊ปซี่มีช่องทางร้านค้าร่วม 2 แสนรายใกล้เคียงกับโค้ก นอกจากนี้ยังขยายช่องทางร้านอาหารซึ่งมีสัดส่วน 20% ขณะที่โมเดิร์นเทรดและร้านค้าสะดวกซื้อเพียง 20% เท่านั้น
ในช่องทางเทรดิชันนัลเทรด ทางบริษัทได้ใช้งบเพิ่มเพื่อเข้าไปดำเนินงานสนับสนุนร้านค้า อาทิ ตู้เย็น อีกทั้งเข้าไปช่วยการจัดวางสินค้าให้เห็นง่าย เนื่องจากเป็นสินค้าที่ผู้บริโภคเห็นแล้วถึงจะซื้อ ส่วนทางด้านบริษัทโคคา-โคลา (ไทย) บริษัทจะเป็นผู้สร้างแบรนด์ควบคู่กับกลยุทธ์โกลบอล อินโนเวชัน โกลบอลสเกล ประเดิมไตรมาส 4 ทุ่ม 200 ล้านบาท จากงบทั้งปี 600 ล้านบาท ซึ่งปกติในช่วงไตรมาส 4 บริษัทใช้งบการตลาด 100 ล้านบาท เนื่องจากเป็นช่วงที่สร้างยอดขายรองจากหน้าร้อน เปิดตัวกลยุทธ์ “ที่สุดของความซ่า” ภายใต้กิจกรรม C day วันโค้กสุขซ่าสดชื่นทั่วไทย ใช้งบ 25 ล้านบาท ต่อยอดจากแคมเปญไตรมาส 3 “ต้องซ่า ต้องกล้า ต้องโค้ก”
โดยจัดคาราวานแจกโค้ก 1 ล้านขวดทั่วประเทศ พร้อมจัดคอนเสิร์ตในวันที่ 25 ตุลาคม ซึ่งมีแพนเค้ก-เขมนิจ จามิกรณ์ เป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ “บันจี้” และสื่อกลางแจ้งกว่า 1,000 จุด ผ่านกิจกรรมสื่อสารการตลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบปี
สำหรับตลาดน้ำอัดลม 3.8 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นตลาดน้ำดำสัดส่วน 75-80% และน้ำสี 20-25% โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการ 3 แบรนด์หลัก ได้แก่ โค้ก เป๊ปซี่ และบิ๊กโคล่า ส่วนหลังจากวันที่ 1 พ.ย.จะมีแบรนด์ใหม่เข้ามาทำตลาด ซึ่งในตลาดนี้แบ่งเป็นบรรจุภัณฑ์ขวดแก้ว 25-30% ขวดเพ็ท 50-55% ที่เหลือเป็นกระป๋อง แต่หลังจากที่เสริมสุขกับเป๊ปซี่หมดสัญญาลงทำให้การผลิตเครื่องดื่มน้ำอัดลมเป๊ปซี่แบบขวดคืนต้องหยุดทำตลาดลงไป ดังนั้นจึงเป็นช่องว่างการตลาด
โดยผลประกอบการกลุ่มเครื่องดื่มน้ำอัดลมในช่วง 9 เดือนบริษัทเติบโต 20% สำหรับสิ้นปีนี้คาดว่าจะมีส่วนแบ่งเพิ่มมากกว่า 54% และเป็นแบรนด์ที่อยู่ในใจฐานลูกค้า 12-49 ปี เพิ่มจาก 35% เป็น 37%
ด้านความเคลื่อนไหวของเป๊ปซี่ ล่าสุดได้แต่งตั้งนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี มาดำรงตำแหน่งประธานบริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด ในเครือเป๊ปซี่โค อิงค์ โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ โดยนายสุรเกียรติ์จะมีบทบาทในการดูแลภาพรวมการบริหารธุรกิจในเชิงกลยุทธ์ รวมทั้งให้คำปรึกษาในด้านทิศทางการลงทุนในประเทศไทยของเป๊ปซี่โค อิงค์ ซึ่งความเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญของนายสุรเกียรติ์ จะมีส่วนช่วยสนับสนุนธุรกิจของเป๊ปซี่โคในไทยให้ประสบความสำเร็จและรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มไว้ได้
