xs
xsm
sm
md
lg

“เซฟ-ที-คัท” ปรับกระบวนทัพครั้งใหญ่ ลดพื้นที่โรงงาน-เพิ่มธุรกิจรับสร้างบ้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เผยเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ ย้ายโรงงานเข้ากรุงเทพฯ เน้นใช้เทคโนโลยีระดับสูงมากขึ้นเพื่อลดต้นทุนการผลิต แต่จะเพิ่มกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัวในช่วงต้นปี 57 เพื่อทำตลาดต่างประเทศมากถึง 75% ใน 5 ปี พร้อมตั้งบริษัทลูกรุกธุรกิจรับสร้างบ้าน หวังดำเนินธุรกิจครอบคลุมตั้งแต้ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ตั้งเป้าเปิดตัวโครงการด้วยการก่อสร้างสถานีตำรวจทั่วประเทศหลังยกเลิกสัญญาเก่า

นายณัฐพจน์ โสตถิวันวงศ์ ประธานกรรมการ บริษัท เซฟ-ที-คัท โกลด์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องตัดวงจรกระแสไฟฟ้า ตู้ควบคุมวงจรไฟฟ้า และโคมไฟฉุกเฉิน ภายใต้ชื่อ “SAFE-T-CUT” เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2556 ว่า เดิมทีผลิตภัณฑ์ “SAFE-T-CUT” อยู่ภายใต้การผลิตและบริหารงานของบริษัท ซี.เอส.อินเตอร์เนชั่นแนล อีเล็คโทรนิคส์ จำกัด แต่เมื่อประมาณเดือน ต.ค. 55 ที่ผ่านมา บริษัทได้ปรับแผนธุรกิจและนโยบายการดำเนินงานใหม่ โดยได้ดำเนินการจดทะเบียนบริษัทใหม่เป็นบริษัท เซฟ-ที-คัท โกลด์ จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท พร้อมทั้งปรับลดจำนวนแรงงานและย้ายโรงงานจาก จ.ชัยนาท มายังพื้นที่ใหม่บริเวณสี่แยกสรรพาวุธ บางนา กรุงเทพฯ

“การปรับองค์กรธุรกิจครั้งนี้เป็นการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต การจัดการ และการบริหารด้านต่างๆ โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีระดับสูงเป็นการทดแทน พร้อมทั้งเป็นการลดต้นทุนด้านต่างๆ โดยเฉพาะในส่วนของโรงงานเก่าซึ่งมีพื้นที่ 150 ไร่ เพื่อดำเนินการผลิตในทุกขั้นตอนนั้น เราได้ปรับกระบวนการผลิตใหม่โดยหันมาใช้การจัดซื้อผ่านระบบซัปพลายเออร์ ทำให้เราสามารถลดขั้นตอนต่างๆ เหลือเพียงการผลิตเพียง 5 ขั้นตอนจาก 30 ขั้นตอน พร้อมทั้งลดขนาดโรงงานเหลือเพียง 500 ตารางเมตรเท่านั้น”

แม้การปรับองค์กรธุรกิจใหม่ครั้งนี้จะเป็นการลดขั้นตอนและแรงงานที่ใช้ในการผลิต แต่ในแง่ของกำลังการผลิตและเทคโนโลยีต่างๆ กลับมีการพัฒนาเพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทดำเนินการผลิตเครื่องตัดวงจรกระแสไฟฟ้า ประมาณ 8,000-10,000 ตัวต่อเดือน ตู้ควบคุมวงจรไฟฟ้า 50,000 ตัวต่อเดือน โคมไฟฉุกเฉิน 10,000 ตัวต่อเดือน และตู้ RCBO ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่รวมเครื่องตัดวงจรกระแสไฟฟ้าและตู้ควบคุมวงจรไฟฟ้าไว้ในเครื่องเดียวกัน 20,000 ตัวต่อเดือน

ขณะเดียวกัน ในส่วนของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของบริษัทจะมีการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ในการผลิตทั้งหมด พร้อมทั้งจะมีการเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น SAFE-T-CUT Gold ตั้งแต่เดือน มิ.ย. 56 เป็นต้นไป โดยคาดว่าการบริหารงานทุกด้านจะสมบูรณ์แบบพร้อมทั้งสามารถขยายโรงงานได้เต็มพื้นที่ 1,000 ตารางเมตร และเพิ่มกำลังการผลิตได้อีก 1 เท่าตัว ประมาณเดือน ม.ค. 57

ในส่วนของผลการดำเนินงานปี 2555 บริษัทสามารถทำยอดขายได้ 300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2554 ประมาณ70% ซึ่งทำยอดขายได้ 190 ล้านบาท เนื่องจากผู้บริโภคมีความตื่นตัวมากขึ้นในเรื่องความปลอดภัยจากปัญหากระแสไฟฟ้ารั่วจนถึงแก่ชีวิตในช่วงที่ประเทศไทยประสบปัญหาอุทกภัยในช่วงปลายปี 2554 โดยคาดว่าในปี 2556 จะสามารถทำยอดขายเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 30% หรือประมาณ 400 ล้านบาท อันเนื่องมาจากการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

“ผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องตัดวงจรกระแสไฟฟ้า ตู้ควบคุมวงจรไฟฟ้า และโคมไฟฉุกเฉินในประเทศ มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 1,000 ล้านบาท ขณะที่มีผู้ประกอบการประมาณ 35 ราย แต่ SAFE-T-CUT ถือเป็นผู้ผลิตในประเทศไทยเพียงรายเดียวทั้งยังเป็นผู้นำในเรื่องของเทคโนโลยีที่ดีที่สุด และเป็นผู้นำการตลาดมาอย่างต่อเนื่องด้วยสัดส่วนประมาณ 30% ส่วนที่เหลือเป็นการแบ่งสัดส่วนกันระหว่างผู้นำเข้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์จากประเทศจีน”

ปัจจุบันบริษัททำตลาดภายในประเทศประเทศ 90% และส่งออก 10% โดยก่อนหน้านี้มีดีลเลอร์อยู่ที่ สปป.ลาว เพียงแห่งเดียว แต่ขณะนี้กำลังเริ่มขยายไปยังประเทศพม่า ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม โดยคาดว่าภายใน 3 ปีนับจากนี้สัดส่วนตลาดต่างประเทศจะขยายเพิ่มขึ้นเป็น 50% และจะขยายเพิ่มขึ้น 75% ภายใน 5 ปี

นอกจากนั้น บริษัทยังได้ขยายสายงานธุรกิจเพิ่มขึ้นในธุรกิจรับสร้างบ้านด้วยเทคโนโลยี Steel Frame Housing ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมการสร้างบ้านแบบใหม่ที่ได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จักในต่างประเทศ เนื่องจากเป็นการสร้างบ้านโดยไม่ใช้การก่ออิฐถือปูน รวมถึงไม่มีการตอกเสาเข็ม ทั้งยังใช้แรงงานน้อยเพียง 6 คนต่อการสร้างบ้าน 1 หลังภายในเวลาที่น้อยกว่า แต่มีความแข็งแรงและทนทานดีกว่าโดยเฉพาะความทนทานต่อแรงแผ่นดินไหว โดยขณะนี้บริษัทได้เริ่มทำตลาดใน จ.ภูเก็ตแล้ว ภายใต้ชื่อ “บริษัท สตีล โซลูชั่น จำกัด”

“การดำเนินธุรกิจของบริษัทในอดีตที่ผ่านมาเป็นเสมือนการดำเนินธุรกิจปลายน้ำเท่านั้น เพราะเราเน้นทำการตลาดในส่วนของโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ เท่านั้น ด้วยเหตุนี้การแตกไลน์ธุรกิจครั้งนี้จึงเท่ากับเป็นการดำเนินธุรกิจครอบคลุมทั้งกระบวนการตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยจะเน้นทำตลาดควบรวมทั้งการสร้างบ้านและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ SAFE-T-CUT ให้โครงการต่างๆ ที่เป็นลูกค้าของเรา เช่น แลนด์แอนด์เฮ้าส์ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เอพี พร็อพเพอร์ตี้ การเคหะแห่งชาติ และอื่นๆ แต่เป้าหมายสำคัญที่เราต้องการ คือ โครงการก่อสร้างสถานีตำรวจ 396 แห่งทั่วประเทศซึ่งคาดว่าจะยกเลิกสัญญาเก่าในวันที่ 19 มี.ค. 55 หากบริษัทสามารถประมูลได้เพียงส่วนหนึ่งของโครงการก็จะสามารถทำให้กลุ่มลูกค้ารู้จักและสนใจในนวัตกรรม Steel Frame Housing มากขึ้น”

ทั้งนี้ ในอนาคตอันใกล้บริษัทยังจะทำตลาดในส่วนของ Kit Home โดยจะมีการเจรจากับไทวัสดุ และโฮมโปร เพื่อจำหน่ายแพคเกจผลิตภัณฑ์ SAFE-T-CUTและส่วนประกอบบ้าน Steel Frame ที่ลูกค้าสามารถซื้อเพื่อนำไปประกอบเองได้ด้วยตนเอง
กำลังโหลดความคิดเห็น