มหัศจรรย์กำลังเกิดขึ้นกับชีวิตคุณหรือยังครับ ปฏิบัติการพลิกชีวิตเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองในเรื่องเงินๆทองๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับความพยายามในการทำให้รูปร่างของคุณกลับมาสมส่วน สมวัยใหม่อีกครั้ง หลังจากที่คุณปล่อยเนื้อปล่อยตัวจนกลายเป็น “ลุงพง” หรือ “ป้าฉุ”มานานแสนนาน
มาถึงตอนนี้ หากคุณลองกลับไปส่องกระจกใหม่อีกสักครั้ง หวังว่าคุณจะพบว่าร่างกายของคุณเริ่มดูกระชับสมวัยมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการ “ทุ่มเท”ในการเริ่มออกกำลังกายเพื่อรีดไขมันส่วนเกินในร่างกายของคุณออก ซึ่งไม่ต่างอะไรกับวิธีการที่ผมแนะนำในการล้างหนี้สินที่หลายคนแบกภาระอยู่จนหลังแอ่นด้วยกลยุทธ์ ลูกบอลหิมะ (Snow ball)
ถึงแม้มันจะแสนยากลำบากใน ช่วงสองสามสัปดาห์แรกของการเริ่มออกกำลังกาย แต่เมื่อคุณพบว่าน้ำหนักตัวเริ่มลดลง กำลังใจในการเดินหน้าต่อไปของคุณก็จะเพิ่มมากขึ้น ไม่ต่างอะไรกับความพยายามในการล้างหนี้ที่มันอาจจะเจ็บปวดจากการ“ตัดใจ”ขายสมบัติบ้าบางชิ้นออกไปเพื่อนำไปเคลียร์หนี้สิน
ในเวลาเดียวกัน ผลจากการตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง ก็ไม่ต่างอะไรกับการลด-ละ-เลิก การเสพติดค่านิยมผิดๆ ในการบริโภคไอ้เจ้า “อาหารขยะ” (Junk food) ที่เป็นตัวเพิ่มน้ำหนักตัวของคุณ
เมื่อตอนที่ผมเผชิญวิบากกรรม ผมตั้งเป้าหมายแรกที่จะล้างหนี้เสียทั้งหมดที่มีให้ได้ภายใน 1-2 ปี จากนั้นผมก็เริ่มสร้าง“เกราะป้องกัน” ด้วยการเก็บเงินสำรองฉุกเฉิน “ล็อค” เอาไว้ในบัญชีออมทรัพย์จำนวนหนึ่ง เพื่อสร้างความอุ่นใจว่า ผมกลับมามี “สุขภาพทางการเงิน” ที่ดีขึ้นและยังมั่นใจว่า ชีวิตผมจะไม่กลับไปเผชิญกับหายนะเหมือนในอดีต
ไม่ต่างอะไรกับ “สุขภาพกาย” ในช่วงเวลาเดียวกัน ผมพยายามที่จะ“ฟื้นฟู” สุขภาพกายของตัวเอง กลับมาออกกำลังกายใหม่อีกครั้ง โดยการเล่นฟุตบอลที่เป็นกีฬาที่ผมรัก
ในช่วงแรกผมสามารถลงไปวิ่งซ้อมในสนามได้ไม่เกิน 5-10 นาที พร้อมกับพกอาการอ่อนล้า ขัดยอกและ“ระบม” ไปทั้งตัวกลับบ้าน แต่เพราะความรัก และมุ่งมั่น ที่จะเล่นฟุตบอล
เชื่อหรือไม่! เดี๋ยวนี้ทุกๆสัปดาห์ผมยังสามารถกลับไปวิ่งโลดแล่นอยู่ในสนามหญ้าสีเขียวเล่นฟุตบอลกับเพื่อนรุ่นพี่ รุ่นน้องได้ตลอดเกมอย่างสบาย
เพราะเหตุนี้ สิ่งที่ผมกังวลแทนหลายๆคนที่เริ่มต้นปฏิบัติการเพื่อพลิกชีวิตก็คือ ในเวลาไม่กี่เดือน ไอ้เจ้าเสียงเล็กๆที่คอยมากระซิบข้างหูมันจะกลับมาชิงตัวคุณกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมใหม่อีกครั้ง เพราะ”อดทน” และ “ทนอด” ไม่ไหว
ซ้ำร้ายบางคนกลับไปคิดหาเส้นทางลัดเข้าสู่ความร่ำรวย โดยนำเงินที่ได้จากแผนตัดค่าใช้จ่ายรายเดือนที่ผมแนะนำไป “เสี่ยง” ลงทุนในหุ้น หรือ หวย แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยความล้มเหลว
แทนที่จะปล่อยให้ตัวเองเกิดพฤติกรรมเบี่ยงเบนไปจากเป้าหมาย สิ่งที่ควรรีบเดินหน้าต่อไปก็คือ การไปยืนหน้ากระจกใหม่อีกครั้ง และเริ่มประกาศกับตัวเองว่า จากนี้ไปคุณจะต้องมีร่างกายที่ “ฟิตแอนด์เฟิร์ม” จนทำให้ใครต่อใครอิจฉา
ใช่ครับ เรากำลังจะเริ่มออกวิ่งต่อไป โดยมีเป้าหมายระยะสั้น คือการเริ่มสร้างความมั่งคั่งสุทธิให้กับตัวคุณเอง ให้ใกล้เคียงหรือสูงกว่า มาตรฐานขั้นต่ำ (Worse case) ของแต่ละคน
สิ่งที่คุณต้องลงมือทำก็คือ การทำบัญชีรับจ่ายรายเดือนขึ้นมาใหม่ เพื่อดูว่า หลังจากคุณตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ลดภาระการจ่ายหนี้เพื่อบริโภค ซึ่งส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมที่แย่ๆจากการใช้เงินในอดีตของคุณ คุณยังคงเหลือภาระค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเป็นเงินสักเท่าไร
ความลับในเรื่องนี้ ก็คือ หากพิจารณาจากมาตรฐานค่าครองชีพในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่จะมีเงินเหลือเมื่อหักค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่างๆแล้ว ประมาณ 15% ของรายรับในปัจจุบัน (บัญชีรายรับ-รายจ่าย)
ค่าใช้จ่ายหลักหนีไม่พ้น หมวดอาหาร (30%) หมวดที่อยู่อาศัย (20%) หมวดเดินทาง (20%) หมวดสาธารณูปโภคต่างๆ (10%) ภาษีสังคม สันทนาการ และอื่นๆ (5%)
ยกตัวอย่าง สำหรับชนชั้นกลางที่เป็นมนุษย์เงินเดือนมีรายได้ต่อเดือนประมาณ 5 หมื่นบาท เมื่อหักค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในแต่ละเดือนแล้วดีที่สุดก็คงเหลือเงินไม่เกินเดือนละ 7,500 บาท
ไอ้เจ้าเม็ดเงินที่เหลืออยู่เดือนละ 7,500 บาท หรือประมาณ 15% ของรายรับนี่แหละ ที่มักจะเป็นปัญหาสำหรับชนชั้นกลางในปัจจุบัน เพราะมักจะถูก “ตีค่า” ในใจไปตามอารมณ์ของความต้องการเดี๋ยวนี้เสียเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งในยุค “รูดปรื๊ดๆ” ในปัจจุบัน
เงินจำนวนนี้อาจถูกแปรสภาพ ไปเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นใหม่ Note book สุดเท่ห์ เสื้อผ้า หรือ กระเป๋า “แบรนด์เนม” คอลเลคชั่นใหม่ล่าสุด เพราะ “อารมณ์ด้านลบ”ที่มาจาก ไอ้เจ้าเสียงเล็กๆที่มากระซิบที่ข้างหูคุณ
บทสรุปของคนส่วนใหญ่ที่ไม่สามารถสลัดให้หลุดจากกับดักแห่งหนี้สิน ที่มาจากการบริโภคที่ไม่สิ้นสุดก็เพราะ ตัวเลข 15% ที่เป็นจุดเกินห้ามใจ
เพราะอย่างนี้ หากคุณไม่ต้องการเป็นคนธรรมดาเหมือนคนอื่น เม็ดเงินที่เหลือ 15% นี่แหละ คือ กุญแจสำคัญที่สุดที่คุณจะใช้ในการไขประตูที่จะนำไปสู่เป้าหมายของการมีเงินใช้ไปตลอดชีวิต (ตารางประกอบ)
คำแนะนำก็คือ นำเงินที่เหลือ 15% ก้อนนี้ไปลงทุนอย่างมีวินัยในกองทุนเพื่อวัยเกษียณของคุณทุกๆเดือน ถ้าคุณเริ่มปฏิบัติแบบนี้ได้ ผมกล้ารับประกันว่า “คุณกำลังจะเป็นผู้ชนะ!” ชีวิตคุณกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ตอนนี้ก็เหลือแค่คำถามว่า จะเอาไอ้เจ้าเม็ดเงิน 15% ที่เหลือในแต่ละเดือนไปวางไว้ตรงไหนที่จะเกิดประโยชน์มากที่สุด!
มาถึงตอนนี้ หากคุณลองกลับไปส่องกระจกใหม่อีกสักครั้ง หวังว่าคุณจะพบว่าร่างกายของคุณเริ่มดูกระชับสมวัยมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการ “ทุ่มเท”ในการเริ่มออกกำลังกายเพื่อรีดไขมันส่วนเกินในร่างกายของคุณออก ซึ่งไม่ต่างอะไรกับวิธีการที่ผมแนะนำในการล้างหนี้สินที่หลายคนแบกภาระอยู่จนหลังแอ่นด้วยกลยุทธ์ ลูกบอลหิมะ (Snow ball)
ถึงแม้มันจะแสนยากลำบากใน ช่วงสองสามสัปดาห์แรกของการเริ่มออกกำลังกาย แต่เมื่อคุณพบว่าน้ำหนักตัวเริ่มลดลง กำลังใจในการเดินหน้าต่อไปของคุณก็จะเพิ่มมากขึ้น ไม่ต่างอะไรกับความพยายามในการล้างหนี้ที่มันอาจจะเจ็บปวดจากการ“ตัดใจ”ขายสมบัติบ้าบางชิ้นออกไปเพื่อนำไปเคลียร์หนี้สิน
ในเวลาเดียวกัน ผลจากการตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง ก็ไม่ต่างอะไรกับการลด-ละ-เลิก การเสพติดค่านิยมผิดๆ ในการบริโภคไอ้เจ้า “อาหารขยะ” (Junk food) ที่เป็นตัวเพิ่มน้ำหนักตัวของคุณ
เมื่อตอนที่ผมเผชิญวิบากกรรม ผมตั้งเป้าหมายแรกที่จะล้างหนี้เสียทั้งหมดที่มีให้ได้ภายใน 1-2 ปี จากนั้นผมก็เริ่มสร้าง“เกราะป้องกัน” ด้วยการเก็บเงินสำรองฉุกเฉิน “ล็อค” เอาไว้ในบัญชีออมทรัพย์จำนวนหนึ่ง เพื่อสร้างความอุ่นใจว่า ผมกลับมามี “สุขภาพทางการเงิน” ที่ดีขึ้นและยังมั่นใจว่า ชีวิตผมจะไม่กลับไปเผชิญกับหายนะเหมือนในอดีต
ไม่ต่างอะไรกับ “สุขภาพกาย” ในช่วงเวลาเดียวกัน ผมพยายามที่จะ“ฟื้นฟู” สุขภาพกายของตัวเอง กลับมาออกกำลังกายใหม่อีกครั้ง โดยการเล่นฟุตบอลที่เป็นกีฬาที่ผมรัก
ในช่วงแรกผมสามารถลงไปวิ่งซ้อมในสนามได้ไม่เกิน 5-10 นาที พร้อมกับพกอาการอ่อนล้า ขัดยอกและ“ระบม” ไปทั้งตัวกลับบ้าน แต่เพราะความรัก และมุ่งมั่น ที่จะเล่นฟุตบอล
เชื่อหรือไม่! เดี๋ยวนี้ทุกๆสัปดาห์ผมยังสามารถกลับไปวิ่งโลดแล่นอยู่ในสนามหญ้าสีเขียวเล่นฟุตบอลกับเพื่อนรุ่นพี่ รุ่นน้องได้ตลอดเกมอย่างสบาย
เพราะเหตุนี้ สิ่งที่ผมกังวลแทนหลายๆคนที่เริ่มต้นปฏิบัติการเพื่อพลิกชีวิตก็คือ ในเวลาไม่กี่เดือน ไอ้เจ้าเสียงเล็กๆที่คอยมากระซิบข้างหูมันจะกลับมาชิงตัวคุณกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมใหม่อีกครั้ง เพราะ”อดทน” และ “ทนอด” ไม่ไหว
ซ้ำร้ายบางคนกลับไปคิดหาเส้นทางลัดเข้าสู่ความร่ำรวย โดยนำเงินที่ได้จากแผนตัดค่าใช้จ่ายรายเดือนที่ผมแนะนำไป “เสี่ยง” ลงทุนในหุ้น หรือ หวย แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยความล้มเหลว
แทนที่จะปล่อยให้ตัวเองเกิดพฤติกรรมเบี่ยงเบนไปจากเป้าหมาย สิ่งที่ควรรีบเดินหน้าต่อไปก็คือ การไปยืนหน้ากระจกใหม่อีกครั้ง และเริ่มประกาศกับตัวเองว่า จากนี้ไปคุณจะต้องมีร่างกายที่ “ฟิตแอนด์เฟิร์ม” จนทำให้ใครต่อใครอิจฉา
ใช่ครับ เรากำลังจะเริ่มออกวิ่งต่อไป โดยมีเป้าหมายระยะสั้น คือการเริ่มสร้างความมั่งคั่งสุทธิให้กับตัวคุณเอง ให้ใกล้เคียงหรือสูงกว่า มาตรฐานขั้นต่ำ (Worse case) ของแต่ละคน
สิ่งที่คุณต้องลงมือทำก็คือ การทำบัญชีรับจ่ายรายเดือนขึ้นมาใหม่ เพื่อดูว่า หลังจากคุณตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ลดภาระการจ่ายหนี้เพื่อบริโภค ซึ่งส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมที่แย่ๆจากการใช้เงินในอดีตของคุณ คุณยังคงเหลือภาระค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเป็นเงินสักเท่าไร
ความลับในเรื่องนี้ ก็คือ หากพิจารณาจากมาตรฐานค่าครองชีพในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่จะมีเงินเหลือเมื่อหักค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่างๆแล้ว ประมาณ 15% ของรายรับในปัจจุบัน (บัญชีรายรับ-รายจ่าย)
ค่าใช้จ่ายหลักหนีไม่พ้น หมวดอาหาร (30%) หมวดที่อยู่อาศัย (20%) หมวดเดินทาง (20%) หมวดสาธารณูปโภคต่างๆ (10%) ภาษีสังคม สันทนาการ และอื่นๆ (5%)
ยกตัวอย่าง สำหรับชนชั้นกลางที่เป็นมนุษย์เงินเดือนมีรายได้ต่อเดือนประมาณ 5 หมื่นบาท เมื่อหักค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในแต่ละเดือนแล้วดีที่สุดก็คงเหลือเงินไม่เกินเดือนละ 7,500 บาท
ไอ้เจ้าเม็ดเงินที่เหลืออยู่เดือนละ 7,500 บาท หรือประมาณ 15% ของรายรับนี่แหละ ที่มักจะเป็นปัญหาสำหรับชนชั้นกลางในปัจจุบัน เพราะมักจะถูก “ตีค่า” ในใจไปตามอารมณ์ของความต้องการเดี๋ยวนี้เสียเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งในยุค “รูดปรื๊ดๆ” ในปัจจุบัน
เงินจำนวนนี้อาจถูกแปรสภาพ ไปเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นใหม่ Note book สุดเท่ห์ เสื้อผ้า หรือ กระเป๋า “แบรนด์เนม” คอลเลคชั่นใหม่ล่าสุด เพราะ “อารมณ์ด้านลบ”ที่มาจาก ไอ้เจ้าเสียงเล็กๆที่มากระซิบที่ข้างหูคุณ
บทสรุปของคนส่วนใหญ่ที่ไม่สามารถสลัดให้หลุดจากกับดักแห่งหนี้สิน ที่มาจากการบริโภคที่ไม่สิ้นสุดก็เพราะ ตัวเลข 15% ที่เป็นจุดเกินห้ามใจ
เพราะอย่างนี้ หากคุณไม่ต้องการเป็นคนธรรมดาเหมือนคนอื่น เม็ดเงินที่เหลือ 15% นี่แหละ คือ กุญแจสำคัญที่สุดที่คุณจะใช้ในการไขประตูที่จะนำไปสู่เป้าหมายของการมีเงินใช้ไปตลอดชีวิต (ตารางประกอบ)
คำแนะนำก็คือ นำเงินที่เหลือ 15% ก้อนนี้ไปลงทุนอย่างมีวินัยในกองทุนเพื่อวัยเกษียณของคุณทุกๆเดือน ถ้าคุณเริ่มปฏิบัติแบบนี้ได้ ผมกล้ารับประกันว่า “คุณกำลังจะเป็นผู้ชนะ!” ชีวิตคุณกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ตอนนี้ก็เหลือแค่คำถามว่า จะเอาไอ้เจ้าเม็ดเงิน 15% ที่เหลือในแต่ละเดือนไปวางไว้ตรงไหนที่จะเกิดประโยชน์มากที่สุด!