เกาะกระแส
00 เมื่อวันที่ 1 ม.ค.56 เป็นต้นมา ถือว่าค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท เริ่มบังคับใช้เป็นวันแรก แต่เนื่องจากวันทำการวันแรกส่วนใหญ่จะเริ่มเอาวันที่ 2 ม.ค.56 เป็นต้นไป แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น สำคัญก็คือต่อไปทั้งลูกจ้างและนายจ้างจะอยู่กันอย่างไร แน่นอนว่าไปถามลูกจ้างในตอนนี้ก็ต้องตอบแบบไม่ต้องคิดมากว่าต้องชอบใจอยู่แล้ว ที่จู่ๆค่าแรงเพิ่มพรวดขึ้นมาถึงวันละหลายสิบบาท บางแห่งตามต่างจังหวัด เช่น พะเยา มหาสารคาม ที่เคยได้ค่าแรงวันละ 160 กว่าบาทก็จะเพิ่มขึ้นมาเป็น 300 บาท แต่ปัญหาก็คือ บรรดา นายจ้างจะรับไหวหรือไม่ นี่แหละคือเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะพวกธุรกิจรายเล็กๆ ตามหัวเมืองบ้านนอก
00 ครั้นที่พูดกันว่าจะมีมาตรการเยียวยาช่วยเหลือผู้ประกอบการรายเล็กรายน้อย อย่างที่ รมว.แรงงาน เผดิมชัย สะสมทรัพย์ ออกมาพ่นน้ำลายนั้น ก็ฝันไปเถอะ ในความเป็นจริงแล้วมันก็เป็นแค่การ “สร้างภาพ” ให้เห็นว่ารัฐบาลได้พยายามช่วยเหลือแล้ว และที่ผ่านมามันก็ไม่เคยทำได้ และส่วนใหญ่ถ้าทำได้ก็จะตกไปถึงพวกธุรกิจรายใหญ่ “ทุนใหญ่” ที่เป็นเครือข่ายของนักการเมืองครอบครัวในรัฐบาลนั่นแหละ ต่อไปจะกลายเป็นว่า แทนที่จะมีรายได้เพิ่ม ผลจะออกมาตรงข้ามคือ ตกงาน ส่วนนายจ้างก็ปิดกิจการ หรือลดชั่วโมงการทำงาน ลดสวัสดิการลงเพื่อความอยู่รอด แต่อีกมุมหนึ่งก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่า ประชานิยมแบบนี้มันจะเจ๊งเมื่อไหร่ นอกเหนือจากนโยบายรถคันแรกที่เริ่มเห็นผลในช่วงปีใหม่ที่ปริมาณรถออกมาจนเต็มถนน และกลางปีนี้ช่วงเม.ย.เป็นต้นไป จะสาหัสขนาดไหนลองคิดดู การบริโภคน้ำมันจะเป็นไงกันบ้าง
00 ส่วนค่าครองชีพนั้นรับรองว่าพวกมนุษย์เงินเดือน และพวกแรงงานที่เพิ่งได้รับ 300 บาทมาหมาดๆนั่นแหละ จะเดือดร้อนกว่าใคร เพราะว่าเวลานี้ราคาสินค้า อาหาร ข้าวราดแกง แกงถุง ได้ปรับราคาขึ้นไปล่วงหน้าแล้ว และยิ่งปีนี้ราคาก๊าซหุงต้มจะต้องปรับราคาเป็นไฟท์บังคับ มันก็ยิ่งสนุกกันใหญ่ ครั้นจะไปหวังพึ่งพากระทรวงพาณิชย์ของ “เจ้าบุญทรุด” เอ้ย บุญทรง เตริยาภิรมย์ นั้นบอกได้คำเดียวว่า ให้พึ่งตัวเองดีกว่า ดังนั้นถ้ามองรูปการณ์ในเรื่องความเป็นอยู่แล้วยังถือว่าน่าเป็นห่วง “ภาพลวง” เหมือนกับว่ามีรายได้เพิ่ม แต่เอาเข้าจริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้น ทุกอย่างไม่มั่นคง เพราะค่าแรงที่เพิ่มอาจทำให้นายจ้างต้องปิดกิจการ กลายเป็นคนตกงาน ท่ามกลางค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น และในความเป็นจริงแล้ว งานนี้ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หาเสียงได้หน้า แต่คนที่ควักเงินจ่ายคือ เอกชน อย่างนี้เขาเรียก “หาเงินในกระเป๋าเพื่อน” ตัวเองไม่ลงทุนสักบาท
00 รัฐบาลหวังว่าจะใช้การใช้จ่ายภาครัฐจากการกู้เงินมาทำอภิมหาโปรเจ็กต์จำนวนกว่า 2.2 ล้านล้านบาท เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน จากการบริโภค แต่ก็นั่นแหละ มันแค่ชั่วคราว เพราะแทบทุกนโยบายของรัฐบาล “พี่แม้วคนแรก” ของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มันเป็นการสนองตอบ “ประชานิยม” ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องมีแต่ “รายจ่าย” หรือ “ขาดทุน” เสียส่วนมาก ไม่เชื่อก็ลองนึกดูทั้ง บ้านหลังแรก รถคันแรก จำนำข้าว ทุกนโยบายล้วนแล้วแต่ไม่ต่างจาก “ผีพุ่งใต้” สว่างวาบแว๊บเดียวก็หายไป ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดของคนไทยก็คือ อย่าไปเชื่อใคร ขอให้อยู่ในความไม่ประมาท ใช้จ่ายอย่างระวังที่สุด ทุกบาททุกสตางค์ที่ออกไปต้องมีเหตุผล ต้องเตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ตลอดเวลา ส่วนใครจะหลงใหลได้ปลื้มไปกับความฉาบฉวย ก็ปล่อยไป !!
00 เริ่มศักราชใหม่พวกนักการเมืองเห็นแก่ได้ก็เริ่มสุมหัวแก้ไขรธน.ทันที ทุกลมหายใจเข้าออกคิดแต่แก้ไข รธน. ให้ตัวเองพ้นผิด ได้ประโยชน์เอาเปรียบอยู่ฝ่ายเดียว ล่าสุด บรรหาร ศิลปอาชา ไดโนเสาร์ตัวท้ายๆแล้ว ก็ยังโผล่หัวออกมาบอกว่าต้องแก้รธน. เพื่อความปรองดอง คิดเอง เออเอง คิดว่าชาวบ้านเขารู้ไม่ทัน ขอโทษ เวลานี้คนอื่นเขาตื่นตัวฉลาดกว่าพวกเอ็งนับพันเท่า และถ้ามองในแง่ดี ส่วนหนึ่งของบ้านเมืองที่มันป่วนก็เป็นเพราะเขารู้ทัน และไม่ยอมนั่นแหละ
00 เหมือนกับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่หลับหูหลับตาท่องจำตามบทว่า ปีใหม่ให้คิดบวก ก็ใช่ ถ้าไม่ใช่แก้ รธน.เพื่อแม้ว แล้วละก็บวกแน่ แต่ถ้าวันๆ มัวแต่ยุ่งวุ่นวายกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง โดยไม่คิดแก้ปัญหาปากท้องตามที่คุยโม้เอาไว้ ก็เตรียมตัวเอาไว้ได้เลย หากเป็นแบบนี้อีกสักปี ต่อให้อีกสิบพี่ทักษิณ ก็เอาไม่อยู่ และอย่าทำเป็นเล่นไป คนเราเวลา “ขาลง” บางทีมันรูดเร็วมากเลยนะจะบอกให้ !!