“พาณิชย์” ไม่หวั่นอียูตัดสิทธิ GSP 3 กลุ่มสินค้าไทย คาดบังคับใช้ 1 ม.ค. 57 ยันการตัดสิทธิไม่กระทบการส่งออก เหตุสินค้าไทยยังเป็นที่ต้องการ แต่ยังโชคดีมีสินค้าอีกหลายรายการ ไทยยังคงได้สิทธิ แต่คู่แข่งถูกตัดสิทธิ
นางปราณี ศิริพันธ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้สหภาพยุโรปได้ออกระเบียบ Commission Implementing Regulation (EU) No 1213/2012 เรื่องการระงับสิทธิ GSP เป็นรายหมวดสินค้าจากประเทศไทย 3 หมวดสินค้า ได้แก่ 1. ของปรุงแต่งจากเนื้อสัตว์ ปลา กุ้ง และสัตว์น้ำ 2. น้ำตาล/ขนมที่ทำจากน้ำตาล โกโก้ ช็อกโกแลต ผลิตภัณฑ์ธัญพืช มอลต์ พาสตา ขนมปัง ผัก ผลไม้ อาหารปรุงแต่ง ซอสและของปรุงแต่งสำหรับทำซอสครีม เครื่องดื่ม อาหารสัตว์ และ 3. อัญมณีและเครื่องประดับ โดยการระงับสิทธิฯ ดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2557 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2559
การตัดสิทธิ GSP ดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าไทย เนื่องจากมั่นใจว่าผู้บริโภคยังคงต้องการสินค้าคุณภาพสูงจากไทยและจะสามารถรักษาส่วนแบ่งการตลาดในสหภาพยุโรปได้ ซึ่งที่ผ่านมากรมฯ ได้ประสานความร่วมมือกับผู้ส่งออก/ผู้ผลิตไทยเพื่อเตรียมการรองรับการตัดสิทธิ GSP มาโดยตลอด โดยได้ชี้แนะให้ผู้ส่งออกปรับสายการผลิตสินค้าให้มีความหลากหลายและพัฒนาคุณภาพสินค้าให้สูงเหนือกว่าประเทศคู่แข่ง พร้อมทั้งเร่งนำผู้ส่งออกสินค้าสำคัญที่คาดว่าจะถูกตัดสิทธิฯ ไปเปิดตลาดใหม่เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหภาพยุโรป เช่น จีน เกาหลี กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง แอฟริกา และภายในกลุ่มประเทศอาเซียน เป็นต้น
นอกจากนี้ กรมฯ ยังได้สนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม) เพื่อลดต้นทุนการผลิตและใช้สิทธิ GSP ของประเทศเพื่อนบ้านเพื่อสร้างแต้มต่อในการส่งออกไปยังสหภาพยุโรป
อย่างไรก็ดี สินค้าสำคัญของไทยในหมวดอื่นๆ ยังคงได้รับสิทธิ GSP อยู่ เช่น พลาสติก ยาง เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า และยานยนต์ ซึ่งจะทำให้สินค้าของไทยเหล่านี้มีความได้เปรียบทางการแข่งขันกับประเทศคู่แข่งสำคัญที่ถูกตัดสิทธิฯ ในครั้งนี้ เช่น จีน และอินเดีย เป็นต้น
นางปราณี ศิริพันธ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้สหภาพยุโรปได้ออกระเบียบ Commission Implementing Regulation (EU) No 1213/2012 เรื่องการระงับสิทธิ GSP เป็นรายหมวดสินค้าจากประเทศไทย 3 หมวดสินค้า ได้แก่ 1. ของปรุงแต่งจากเนื้อสัตว์ ปลา กุ้ง และสัตว์น้ำ 2. น้ำตาล/ขนมที่ทำจากน้ำตาล โกโก้ ช็อกโกแลต ผลิตภัณฑ์ธัญพืช มอลต์ พาสตา ขนมปัง ผัก ผลไม้ อาหารปรุงแต่ง ซอสและของปรุงแต่งสำหรับทำซอสครีม เครื่องดื่ม อาหารสัตว์ และ 3. อัญมณีและเครื่องประดับ โดยการระงับสิทธิฯ ดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2557 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2559
การตัดสิทธิ GSP ดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าไทย เนื่องจากมั่นใจว่าผู้บริโภคยังคงต้องการสินค้าคุณภาพสูงจากไทยและจะสามารถรักษาส่วนแบ่งการตลาดในสหภาพยุโรปได้ ซึ่งที่ผ่านมากรมฯ ได้ประสานความร่วมมือกับผู้ส่งออก/ผู้ผลิตไทยเพื่อเตรียมการรองรับการตัดสิทธิ GSP มาโดยตลอด โดยได้ชี้แนะให้ผู้ส่งออกปรับสายการผลิตสินค้าให้มีความหลากหลายและพัฒนาคุณภาพสินค้าให้สูงเหนือกว่าประเทศคู่แข่ง พร้อมทั้งเร่งนำผู้ส่งออกสินค้าสำคัญที่คาดว่าจะถูกตัดสิทธิฯ ไปเปิดตลาดใหม่เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหภาพยุโรป เช่น จีน เกาหลี กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง แอฟริกา และภายในกลุ่มประเทศอาเซียน เป็นต้น
นอกจากนี้ กรมฯ ยังได้สนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม) เพื่อลดต้นทุนการผลิตและใช้สิทธิ GSP ของประเทศเพื่อนบ้านเพื่อสร้างแต้มต่อในการส่งออกไปยังสหภาพยุโรป
อย่างไรก็ดี สินค้าสำคัญของไทยในหมวดอื่นๆ ยังคงได้รับสิทธิ GSP อยู่ เช่น พลาสติก ยาง เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า และยานยนต์ ซึ่งจะทำให้สินค้าของไทยเหล่านี้มีความได้เปรียบทางการแข่งขันกับประเทศคู่แข่งสำคัญที่ถูกตัดสิทธิฯ ในครั้งนี้ เช่น จีน และอินเดีย เป็นต้น