“อโรม่า กรุ๊ป” แจงกรณีพับแผนการร่วมทุนกับ “ปตท.” ไม่กระทบผลประกอบการบริษัท แต่ยังพร้อมเป็นพันธมิตรแม้หมดสัญญา เผยเตรียมผลิตและนำเข้าสินค้าจากเวียดนามเจาะตลาดไทยรับ AEC รับสถานการณ์เปลี่ยนแปลง
นายกิจจา วงศ์วารี กรรมการบริหาร อโรม่า กรุ๊ป ผู้ดำเนินธุรกิจกาแฟคั่วบดครบวงจรกว่า 50 ปี เปิดเผยถึงกรณีการเจรจาแผนการควบรวมกิจการระหว่างอโรม่า กรุ๊ป กับทาง ปตท.ในการดำเนินธุรกิจกาแฟว่า ล่าสุดทั้งสองบริษัทไม่สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ เนื่องจากแผนงานที่ต่างฝ่ายต่างนำมาเสนอมีทิศทางที่ไม่สอดคล้องกัน แต่ถึงอย่างไรบริษัทฯ ก็ยังพร้อมจะเป็นพันธมิตรทางการค้าที่ดีร่วมกับ ปตท.ในอนาคตต่อไป
“เราทำงานร่วมกับ ปตท.ตั้งแต่มีร้านกาแฟอเมซอนไม่ถึง 10 สาขา มียอดขายไม่ถึง 10 แก้วต่อสาขาต่อวัน จนกระทั่งวันนี้ร้านกาแฟอเมซอนมีเกือบ 1,000 สาขา และมียอดขายหน้าร้านกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจของเราที่มีส่วนสร้างสรรค์เครือข่ายกาแฟของคนไทยให้มียอดขายติดอันดับโลกได้ การที่ทาง ปตท.ตัดสินใจที่จะสร้างโรงคั่วกาแฟเองไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด เพราะจากวันแรกที่ทางอโรม่า กรุ๊ปได้เริ่มทำสัญญากับ ปตท.ในการเป็นผู้ซัปพลายวัตถุดิบ สูตรกาแฟ และโนว์ฮาวต่างๆ ให้แก่ร้านกาแฟอเมซอน ทางเราก็ได้ตระหนักอยู่แล้วว่าภายหลังหมดสัญญาในต้นปี 2557 จะมีความเป็นไปได้เพียงสองทางเท่านั้น คือ การที่ ปตท.จะสร้างโรงคั่วกาแฟเอง หรือ ปตท.จะเข้าซื้อกิจการของอโรม่า กรุ๊ป ดังนั้นเราจึงมีการวางแผนดำเนินงานและทุ่มเทอย่างหนักเพื่อสร้างรากฐานทางธุรกิจให้มีความแข็งแกร่งและมั่นคงตลอด 6 ปีที่ผ่านมา เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อบริษัทฯ หากเกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในอนาคตหรือภายหลังหมดสัญญา”
นายกิจจากล่าวต่อไปว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอโรม่า กรุ๊ปมีอัตราการเติบโตของยอดขายเฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 30% ทำให้ในปีที่แล้ว (2555) อโรม่า กรุ๊ปมียอดขายรวม 1,300 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นยอดขายที่ได้จาก ปตท.ประมาณ 20% และหากเทียบสัดส่วนกำไรแล้วจะมีผลต่อภาพรวมกำไรของบริษัทเพียง 10% เท่านั้น
“แม้สัญญาที่เราทำกับทาง ปตท.จะหมดลง แต่สิ่งที่จะคงอยู่กับเราตลอดไปคือความภาคภูมิใจ องค์ความรู้และความสามารถในการพัฒนาธุรกิจกาแฟให้แก่ผู้ที่มีความตั้งใจรายใหม่หรือรายเดิมในตลาดต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สนใจรายอื่นที่เราไม่สามารถร่วมมือได้ในอดีต เนื่องจากสัญญาที่มีกับทาง ปตท.ไม่เอื้ออำนวย ซึ่งเรามั่นใจว่าจากประสบการณ์กว่า 50 ปีในการประกอบธุรกิจกาแฟคั่วบดแบบครบวงจร ประกอบกับการที่เรามีบุคลากรที่มีความสามารถและมีคุณภาพมากมาย ที่แม้จะมีบางคนที่อยู่ในวัยที่เกษียณแล้วแต่ก็ยังคงเป็นที่ปรึกษาให้กับทางอโรม่า กรุ๊ปอยู่ บวกกับประสบการณ์กว่า 10 ปีในการพัฒนาเครือข่ายร้านกาแฟสดอเมซอน จึงเป็นสิงที่รับประกันได้เป็นอย่างดีว่าอโรม่า กรุ๊ปจะสามารถพัฒนาคู่ค้ารายอื่นให้ก้าวไปอยู่ในระดับแนวหน้า ในรูปแบบที่รวดเร็วกว่าและดีขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน”
นายกิจจากล่าวต่อว่า นอกจากนี้เรามีแผนที่จะรักษายอดขายและผลกำไรในอนาคตให้มีอัตราการเติบโตไม่น้อยไปกว่าเดิม แม้จะสิ้นสุดสัญญากับทาง ปตท.ไปแล้ว โดยขณะนี้บริษัทฯ กำลังเตรียมความพร้อมในการนำเข้ากาแฟสำเร็จรูปและวัตถุดิบจากประเทศเวียดนามเข้ามาผลิตในไทย ภายหลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ซึ่งทางอโรม่า กรุ๊ปมีโรงงานคั่วบดกาแฟขนาดใหญ่ในนิคมอุตสาหกรรมโฮจิมินห์ ซิตี้ ที่มีกำลังการผลิตมากถึง 2,000 ตันต่อปี โดยในปีที่ผ่านมาสามารถสร้างยอดขายได้มากถึง 600 ล้านบาท (ไม่รวมยอดขายของอโรม่า กรุ๊ป ในประเทศไทย) จากการผลิตและส่งออกกาแฟคั่วบด และกาแฟสำเร็จรูปไปยังประเทศแถบยุโรป ยุโรปตะวันออก อเมริกา และออสเตรเลีย
“จากวิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจกาแฟ จึงได้ก่อตั้งโรงงานแห่งนี้มานานกว่า 6 ปีแล้ว ซึ่งในปีที่ผ่านมาประเทศเวียดนามสามารถปลูกกาแฟและมีผลผลิตมากเป็นอันดับ 1 ของโลก ในขณะที่ประเทศไทยมีผลผลิตเมล็ดกาแฟไม่เพียงพอต่อความต้องการในอุตสาหกรรมกาแฟ และจากข้อได้เปรียบในเรื่องของต้นทุนการผลิตและค่าแรงในประเทศเวียดนามที่ถูกกว่า ประกอบกับเรามีฐานลูกค้าเดิมที่เหนียวแน่นอยู่แล้ว จึงทำให้เรามั่นใจว่าจะสามารถนำสินค้าเข้ามาเจาะตลาดในประเทศไทยได้ไม่ยาก และที่สำคัญคู่ค้าของอโรม่า กรุ๊ป จะมีโอกาสได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพในราคาที่ถูกลงอีกด้วย” นายกิจจากล่าว