“อโรม่า กรุ๊ป” เร่งสรุปเจรจากับ ปตท. คาดอีก 4 เดือนชัดเจน หลังสัญญาจะจบลง ก.พ. ปี 57 พร้อมเตรียมนำบริษัทเข้าตลาดหุ้น เร่งขยายสาขากาแฟสดชาวดอยเพิ่มเป็น 2,000 สาขา และไนน์ตี้-โฟร์ คอฟฟี่เพิ่มเป็น 250 สาขาภายในปี 2560 รองรับตลาด
กาแฟสดบูมสุดขีด ปลื้มยอดขายปีนี้ทะลุ 1,300 ล้านบาท
นายกิจจา วงศ์วารี กรรมการบริหาร อโรม่า กรุ๊ป ผู้นำด้านธุรกิจกาแฟคั่วบดครบวงจรมานานกว่า 50 ปี เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีที่อโรม่า กรุ๊ป ซึ่งเป็นคู่สัญญาในการทำธุรกิจร้านกาแฟแบรนด์ “อเมซอน คาเฟ่” ที่เปิดให้บริการในสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ที่ปัจจุบันมีกว่า 700 สาขา และกำลังจะสิ้นสุดสัญญาฉบับล่าสุดในเดือนกุมภาพันธ์ 2557 ว่า ล่าสุดทางอโรม่า กรุ๊ปได้มีการเจรจากับ ปตท.ในการร่วมทุนก่อตั้งบริษัทใหม่ โดยได้มีการลงนามรักษาความลับ (Confidential Agreement : CA) ทำให้ทั้งคู่ต้องเปิดเผยทิศทางการดำเนินธุรกิจในอนาคต รวมถึงผลประกอบการของตัวเอง
“โดยทั้งคู่จะกลับไปจัดทำแผนธุรกิจสำหรับแนวทางสร้างการเติบโตให้แก่บริษัทใหม่ที่จะจัดตั้งร่วมกัน ก่อนกลับมาเจรจากันอีกครั้งในอีก 1 เดือนข้างหน้าว่าแนวทางของทั้งคู่ไปในทิศทางเดียวกัน และทั้ง 2 ฝ่ายพอใจหรือไม่ก่อนลงรายละเอียดในขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ กระบวนการทั้งหมดคาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 4 เดือนจะได้ผลสรุป” นายกิจจากล่าว
อย่างไรก็ตาม นายกิจจากล่าวว่า ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าบริษัทฯ มีแผนที่จะนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพื่อระดมเงินทุนประมาณ 1,000 ล้านบาทมาใช้ในการสนับสนุนเงินลงทุนให้แก่ลูกค้าที่มีความสนใจและมีทำเลที่ดีในการเปิดร้านกาแฟสดชาวดอย รายละไม่เกิน 300,000 บาท และร้านกาแฟสด 94? Coffee รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท เพื่อเร่งขยายสาขากาแฟสดชาวดอยเป็น 2,000 สาขา จากปัจจุบันที่มีอยู่ 400 สาขา และร้านไนน์ตี้โฟร์คอฟฟี่เป็น 250 สาขา จากเดิมที่มีอยู่ 35 สาขาให้ได้ภายในปี 2560
“ธุรกิจร้านกาแฟสดถือว่ามีอัตรากำไรที่ดีเมื่อเทียบกับการจำหน่ายเมล็ดกาแฟคั่วบดและเครื่องชงกาแฟ ซึ่งปัจจุบันอโรม่า กรุ๊ปมีลูกค้ารายย่อย 4,000-5,000 ราย และมีลูกค้าที่เป็นเชน (Chain) เกือบ 100 ราย โดยในปีหน้าบริษัทจะใช้งบลงทุนประมาณ 30 ล้านบาทในการขยายไลน์เพิ่มกำลังการผลิตเมล็ดกาแฟคั่วบดเพิ่มอีก 1 เท่าตัว เป็น 4 พันตันต่อปี จากเดิมที่กำลังการผลิตอยู่ที่ 2 พันตันต่อปี เพื่อรองรับธุรกิจของอโรม่า กรุ๊ปที่มีอัตราเติบโต 30-40% ทุกปี”
นายกิจจากล่าวต่อว่า ปัจจุบันตลาดร้านกาแฟสด หรือร้านกาแฟคั่วบดมีมูลค่าปีละกว่า 6,000 ล้านบาท ซึ่งจากข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่าปริมาณการดื่มกาแฟของคนไทยเฉลี่ย 130-150 แก้ว/คน/ปี และคนที่บริโภคกาแฟเป็นประจำมีประมาณ 30% ของประชากรทั้งประเทศ น้อยกว่าญี่ปุ่นที่มีปริมาณการดื่มกาแฟเฉลี่ยถึงคนละ 500 แก้ว/ปี ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีปริมาณการดื่มกาแฟเฉลี่ยถึงคนละ 700 แก้ว/ปี จึงทำให้ตลาดยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก
สำหรับในสิ้นปีนี้อโรม่า กรุ๊ปสามารถสร้างยอดขายได้ประมาณ 1,300 ล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วนรายได้เป็นจากการขายเมล็ดกาแฟคั่วบด 50% รายได้จากการจำหน่ายเครื่องชงกาแฟ 40% รายได้จากร้านค้าปลีก 5% (แฟรนไชส์ชาวดอย และไนน์ตี้โฟร์) และรายได้อื่นๆ 5%