“กิฟฟารีน” คาดปีหน้าธุรกิจขายตรงสดใสคึกคัก หลังจากค่าแรง 300 บาทมีผลบังคับใช้ส่งผลกระทบเอสเอ็มอีจำนวนมากไปไม่รอด เหตุคนอาจจะตกงานแห่ซบทำขายตรงกันมากขึ้น
นางนลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจขายตรงภายใต้แบรนด์กิฟฟารีน เปิดเผยว่า แนวโน้มของธุรกิจขายตรงในปีหน้าคาดว่าจะมีการเติบโตอย่างดีและคึกคักมากขึ้น เนื่องจากว่านโยบายการปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทที่จะมีผลทั่วประเทศในต้นปีหน้านั้น คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนของธุรกิจเอสเอ็มอีอย่างมากที่มีเงินทุนดำเนินการน้อย ทำให้แรงงานภาคเอสเอ็มอีต้องได้รับผลกระทบอย่างมากและเกิดปัญหาตกงานตามมาแน่นอน ดังนั้นคาดว่าอาชีพขายตรงน่าจะเป็นอาชีพหนึ่งที่คนตกงานเหล่านี้หันมาทำกันเพราะเป็นอาชีพอิสระที่สร้างรายได้ดีด้วย
ขณะที่กิฟฟารีน ปัจจุนบันมีสมาชิกที่เป็นผู้บริโภคมากกว่า 6.3 ล้านรหัส ซึ่งในจำนวนดังกล่าวมีประมาณ 5 แสนรหัสที่เป็นสมาชิกที่มีรายได้ และอีกประมาณ 50,000 รหัสที่เป็นนักธุรกิจที่มีรายได้ประจำ โดยในส่วนของสมาชิกที่มีรายได้ดังกล่าวถือว่าเป็นที่พอใจมาก บริษัทจึงให้ความสำคัญต่อการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค โดยบริษัทจะมีการใช้งบลงทุน 30 ล้านบาทวิจัยและพัฒนาสินค้าเพื่อผลิตสินค้าใหม่ๆ เข้ามาทำตลาด
ทั้งนี้ แผนตลาดช่วง 2 เดือนสุดท้ายนี้บริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ต่อเนื่อง เช่น ชุดผลิตภัณฑ์เอดดัลไวส์ และชุดกิฟฟารีนกลามอรัสบิวตี้ เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งคาดว่าภายในสิ้นปีนี้บริษัทจะมียอดขายประมาณ 5,800 ล้านบาท เติบโตจากปีที่แล้ว 8-10% แต่ก็ต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่วางไว้เล็กน้อยว่าปีนี้จะเติบโตและมีรายได้รวมประมาณ 6,000 ล้านบาท เพราะช่วงไตรมาสแรกปีนี้ยอดขายสะดุดเล็กน้อยเนื่องจากผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมใหญ่ปีที่แล้วทำให้ไม่มีสินค้าเข้าทำตลาดตามแผนงานเดิม
ขณะที่ในช่วงไตรมาส 2 สถานการณ์เข้าคืนสู่ภาวะปกติแล้ว สินค้าเริ่มผลิตได้ ส่งผลให้ตั้งแต่ไตรมาส 2 ยอดขายเริ่มมีการเติบโตที่ดีขึ้น โดยเฉพาะช่วงเดือน พ.ย.นี้มียอดขายเติบโต 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนปีหน้าคาดว่ารายได้รวมจะเติบโตประมาณ 10%
“ตอนที่เราเริ่มต้นทำธุรกิจเมื่อ 16 ปีที่ผ่านมามีสินค้าประมาณ 116 รายการเท่านั้น และตั้งเป้าหมายยอดขายปีแรกประมาณ 100 ล้านบาท แต่เราก็ทำได้มากถึง 384 ล้านบาท แต่มาวันนี้เรามีสินค้าวางขายมากกว่า 2,200 รายการ มีรายได้รวมตลอด 16 ปีถึง 50,000 ล้านบาท ปีนี้เราจึงฉลองความสำเร็จผ่านแคมเปญ บิ๊ก กิฟต์ บิ๊ก เซเลเบรชัน ให้สมาชิกร่วมลุ้นรางวัลในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นี้” นางนลินีกล่าว
สำหรับตลาดต่างประเทศนั้นบริษัทยังมีแผนที่จะขยายธุรกิจในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยวางแผนว่าในปีหน้าจะขยายเข้าไปทำตลาดในอินโดนีเซีย จากปัจจุบันเข้าไปทำตลาดในประเทศลาว พม่า กัมพูชา และมาเลเซียแล้ว ส่งผลให้มีรายได้จากต่างประเทศปีนี้ประมาณ 150 ล้านบาท